






พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคนำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ประชุมได้เห็นควรให้มีการจัดตั้งศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อจัดเป็นศูนย์ในการทำงานให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และทีมสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐ ในการนำข้อมูลข่าวสารไปดำเนินการ เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน
โดยศูนย์นโยบายและวิชาการดังกล่าวจะมี นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าทีม และมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นทีมงานสำคัญ
อุตตม กล่าวถึงศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ ว่า วันนี้เรามีบทบาทเป็นพรรคฝ่าย ในสภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นศูนย์ที่เราตั้งขึ้น จะมีหน้าที่หลักในการสนับสนุนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของพรรค เพื่อที่จะตอบโจทย์ให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเชิงนโยบายหรือมาตรการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ และยังมีหน้าที่สนับสนุน สส.และทีมงานในพื้นที่ด้วย
โดยเราหวังว่า ศูนย์ของเราจะเป็นศูนย์รวมของการพัฒนาบุคลากรของพรรคพลังประชารัฐให้มีคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูล ข่าวสารที่ถูกต้อง และจากนี้ พรรคพลังประชารัฐจะทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง
ด้าน สนธิรัตน์ กล่าวว่า ทุกคนที่อยู่ตรงนี้จะเป็นผู้บริหารศูนย์นโยบายและวิชาการร่วมกัน โดยเราจะไม่ได้ทำงานเฉพาะในกลุ่มของพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น แต่จะเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่อยากจะร่วมเสนอแนะ หรือต้องการให้พรรคพลังประชารัฐดำเนินการ เราเปิดกว้างที่จะรับข้อมูลจากทุกด้าน และจะใช้ข้อมูลจากเหล่านี้ในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งในและนอกสภาฯ ในบทบาทของพรรคฝ่ายค้าน ที่จะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไป นี่คือความเปลี่ยนแปลงของพรรคพลังประชารัฐ เพราะเรารู้ว่า วันนี้ประชาชนต้องการความหวังจากพรรคฝ่ายค้านที่จะทำหน้าที่แทนประชาชนคนไทย
สนธิรัตน์ ยังกล่าวถึงนโยบายรัฐบาลในฐานะฝ่ายค้าน ว่า วันนี้ ดิจิทัลวอลเล็ต ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว และถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล สิ่งที่เราไม่สบายใจคือโครงการนี้ เดินอยู่บนความไม่แน่นอนของรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงการหลายครั้ง จนสุดท้ายตอนนี้มีการแจกเป็นเงินสด ซึ่งแตกต่างจากที่หาเสียงไว้ว่าเป็น ‘Digital wallet’
สนธิรัตน์ กล่าวว่า มีคำถามตามมา ว่า เรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่สิ่งที่เราเห็นด้วยมาตลอดคือการแจกให้กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่พรรคพลังประชารัฐ ใช้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 มันชัดเจนว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐกลายเป็นโครงสร้างหลัก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะให้ความสำคัญกับร้านธงฟ้าประชารัฐด้วย
สนธิรัตน์ ยังกล่าวต่อว่า เรื่องที่รัฐบาลหวังว่า จะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ผลักดัน GDP ได้ 0.35 % ต่อปี คำถามคือ มันจะเป็นพายุหมุน ที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไปหรือไม่ หรือสุดท้ายมันจะเป็นแค่ฝนหลงฤดู สิ่งที่เราจะตรวจสอบต่อไป คือ โครงการนี้ลดการเติบโตในด้านอื่นๆ หรือไม่
“สุดท้ายด้วยความเป็นห่วงในโครงการนี้ มีผู้ลงทะเบียนถึง 36 ล้านคน รัฐบาลสัญญาว่าจะดำเนินการให้แน่นอน แต่มันกลับมีเครื่องหมายคำถาม ว่าจะทำอย่างไร ทำวิธีใดและสำคัญที่สุดงบประมาณมันจะมาจากไหน พรรคพลังประชารัฐอยากเห็น โครงการเรือธงของรัฐบาลเป็นโครงการที่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ได้ ไม่อยากเห็นโครงการเรือธงกลายเป็นโครงการเรือล่ม ที่แค่ออกสตาร์ทก็ล่มที่ปากอ่าวแล้ว ไปได้ไม่ไกล”
‘ประวิตร’ อารมณ์ดี ไม่ตอบปมคลิปเสียงหลุด ‘วัน อยู่บำรุง’ บอก ‘ลุงป้อม’ ไม่ซีเรียส
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ เดินทางกลับ หลังจากร่วมประชุม สส.และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดย พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามต่อสื่อมวลชนถึงกรณีมีคลิปเสียงคล้าย พล.อ.ประวิตรที่ถูกนำเสนอผ่านรายการข่าวโทรทัศน์
โดยพล.อ.ประวิตร ได้แต่เพียงอมยิ้มก่อนเดินขึ้นรถ และไม่ได้ทักทายกับสื่อมวลชนเช่นที่ผ่านมา
ขณะที่ วัน อยู่บำรุง กรรมหารบริหารพรรค พปชร. ที่ลงมาส่ง พล.อ.ประวิตร เพื่อเดินทางกลับ ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ยังอารมณ์ดี หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่ได้ซีเรียสอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการพูดคุยกันภายในที่ประชุมพรรคหรือไม่ว่าใครเป็นคนปล่อยคลิปดังกล่าว เนื่องจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค ออกมาระบุว่าจากการตรวจสอบเริ่มเห็นเค้าลางว่าเป็นฝีมือใคร วัน กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่เท่าที่ทราบ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้เลย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าการปล่อยคลิปเสียงดังกล่าวมองว่าจะสามารถดิสเครดิต พล.อ.ประวิตร ให้หายไปจากแวดวงการเมืองได้หรือไม่ วัน หัวเราะ พร้อมกล่าวย้ำคำเดิมว่า “ลุงอารมณ์ดี ผมพูดเท่านี้พอดีกว่า”