ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่นายกรัฐมนตรีเรียกคืนกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยว่า เราเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นสาระมาสักระยะหนึ่ง อยากให้สังคมก้าวข้ามเรื่องการปรับ ครม. แล้วมาโฟกัสเรื่องที่ใหญ่กว่า มีอีกหลายเรื่องที่กำลังรุมเร้าเราอยู่ ไม่ใช่แค่ปัญหาความขัดแย้งภายในรัฐบาล ซึ่งเล็กกว่าปัญหาการเมืองอื่นด้วยซ้ำไป ยิ่งเราให้ความสนใจ ก็จะยิ่งมีกระแสปั่นว่า ขอคืนได้ ขอคืนไม่ได้ คนนั้นเป็นฝ่ายค้าน คนนี้เป็นฝ่ายรัฐบาล มันไม่จบ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า ให้จบเรื่องนี้สักที มีอีกหลายเรื่องที่รอให้รัฐบาลตัดสินใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นกับรัฐวิสาหกิจ ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 70% อย่างบริษัทท่าอากาศยานไทย ,ปัญหาเศรษฐกิจที่จะตามมา หลังจากมีการปะทะกันของฝ่ายไทย-กัมพูชา
“เราต้องการสมาธิจากฝั่งรัฐบาลมากกว่าการปรับ ครม. ซึ่งไม่รู้ว่าปรับไปแล้วปากท้องของประชาชนจะดีขึ้นอย่างไร”
— ศิริกัญญา กล่าว
ศิริกัญญา กล่าวว่า การปรับ ครม. แล้วไปวุ่นวายกับกระทรวงมหาดไทยในขณะนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนอย่างแท้จริง ถ้ามองดูว่าจะเอากระทรวงไหนมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ คงไม่ใช่กระทรวงมหาดไทยแน่ๆ ดังนั้น เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวหรือส่วนของพรรคการเมืองชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งที่ครองอยู่ ไม่ยอมปล่อย หรือฝั่งที่อยากได้ มันไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ
เมื่อถามว่าสุดท้ายพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยจะไปกันต่อจนรอดครบเทอมหรือไม่ ศิริกัญญา ยิ้มก่อนกล่าวว่า ก็สุดจะเดา เพราะคงจะลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันมาก และไม่รู้ว่าลึกๆ เขาคุยอะไรกันอย่างไร แต่ก็ภาวนาให้เรื่องนี้จบลงเร็วๆ เพื่อคืนสมาธิให้กับรัฐบาลมาแก้ปัญหาให้กับประชาชนดีกว่า
ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงสถานการณ์การค้าชายแดน ไทย-กัมพูชาว่า หากเหตุการณ์ปิดด่านจริงๆ อย่าหวั่นไหวหรือสั่นคลอน เพราะทางฝั่งไทย มีสรรพกำลัง มีเม็ดเงิน มีสายป่านที่ยาวกว่า เพียงแต่ว่ารัฐบาล จะต้องแสดงเจตจำนงต่อผู้ประกอบการทางฝ่ายไทยว่า ยินดีที่จะเยี่ยวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปิดด่าน หากทำแบบนี้ได้ เสียงบ่นหรือเสียงต่อต้านจากพื้นที่ก็จะน้อยลง หรือหากต้องมีกลไกอื่นเข้าไปช่วยเหลือเรื่องแรงงานต่างชาติขาดแคลน ควรจะมีการผ่อนปรน MOU ชั่วคราว เพื่อที่จะช่วยล้งผลไม้หรือสวนผลไม้ เราเตรียมทางออกเรื่องนี้ได้หากเตรียมพร้อมมากพอ
เมื่อถามว่า ตัวเม็ดเงินเรามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ศิริกัญญา กล่าวว่า หากพูดเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ งบ 157,000 ล้าน อาจจะมองว่ามีคนจับจ้องแล้ว แต่จริงๆ ตอนนี้งบกลางยังเหลืออยู่ เกือบ 60,000 ล้าน ตัวเลขล่าสุดทางสำนักงบประมาณยังไม่ได้ส่งมา แต่ก็จะพบว่าการเบิกจ่ายหรือใช้จ่าย มันยังไม่เต็มส่วนที่สภาอนุมัติไปเกือบแสนล้านบาท จึงมองว่า น่าจะมีเม็ดเงินเพียงพอ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องโชว์เจตจำนง มิฉะนั้นความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่บริเวณด่าน อาจจะเกิดกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ยืนยันว่า สามารถรับมือเรื่องนี้ได้ถ้าเราเตรียมความพร้อมมากพอ และถ้าวัดสายป่านกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็คิดว่าทางฝั่งไทย มีสายป่านยาวกว่าแน่ๆ และคิดว่าผลกระทบทางฝั่งนู้นน่าจะมากกว่าฝั่งไทย ถึงแม้จะสามารถหาสินค้าอะไรทดแทนได้ แต่เรื่องของแรงงานข้ามชาติ ที่จะหางานทดแทนกันได้ง่ายๆ
ส่วนที่สมเด็จฮุนเซน เปลี่ยนจากการที่ไม่รับสินค้าไทยเลยมาเป็นไม่รับแค่ผัก-ผลไม้ ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องดูว่าจะเกิดเสียงต่อต้านมากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นชาวกัมพูชาเองที่จะกังวลกับผลกระทบที่เกิดขึ้น หากมีการปิดด่านอย่างถาวรทั้งหมด หรือไม่รับสินค้าไทยทั้งหมด เสียงจากประชาชน จะส่งผ่านจนทำให้ท่าทีอ่อนลงเองตามอัตโนมัติ หากกระทบกับปากท้องของประชาชนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไทยหรือกัมพูชา
สำหรับจุดแข็งที่จะนำไปต่อรองกับกัมพูชาโดยที่ไม่ต้องใช้สงครามนั้น ศิริกัญญา กล่าวว่า เรื่องการค้าชายแดนและการแชร์สาธารณูปโภคต่างๆ อินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ ที่น่าจะมีน้ำหนัก ที่จะทำให้การเจรจาพูดคุย และท่าทีของกัมพูชาอ่อนลงได้ โดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร