เรื่องมันมีอยู่ว่า ยิ่งลักษณ์ กับภาระกิจ ว.5 <> พิชัย ชุณหวชิร ปิดกล่องโครงการ ฯ <> การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูฯ

16 มิ.ย. 2568 - 23:46

  • ยิ่งลักษณ์ กับภารกิจ ว.5 ที่มาเก๊า

  • ขุนคลังพิชัย หืดจับ ปิดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูฯ หมดภูมิคุ้มกัน

เรื่องมันมีอยู่ว่า ยิ่งลักษณ์ กับภาระกิจ ว.5 <> พิชัย ชุณหวชิร ปิดกล่องโครงการ ฯ  <> การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูฯ

เรื่องมันมีอยู่   เปิดตัว V2 กับเครือข่ายนักวิ่ง รอบนี้มาถึงมาเก๊า และฮ่องกง รองานเลี้ยงใหญ่  โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปิดปล่องเรียบร้อย แต่คนเหนื่อยสุดคือพิชัย ชุณหวชิร เสนอโครงการมามึดฟ้า มัวดิน  การบินไทยของเล่นการเมืองถูกปล่อยออกมาแล้ว รอบนี้ต้องระวังให้ดี อย่ากลับไปเหลือแต่ซากเหมือนในอดีต พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า

ยิ่งลักษณ์ กับภารกิจ ว.5  ที่มาเก๊า

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โยกพิกัดจากดูไบ มาประจำการที่ ‘มาเก๊า’ เมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นทริปส่วนตั๊ว..ส่วนตัว ลับเฉพาะ ‘คนรู้ใจ’

จะมีก็แต่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม กับคู่หู ‘มนพร เจริญศรี’  รมช.คมนาคม ที่เผอิญมีภารกิจไปประชุมที่นั่นพอดี เลยถูกเรียกตัวมาตรวจการบ้าน บรรดาโปรเจกต์ใหญ่น้อยของ ‘กระทรวงหูกวาง

แถมด้วยการบ้านชุดใหม่ พากันไปดูงานสะพานมาเก๊า-จูไห่-ฮ่องกง เลกเชอร์ไว้เป็นต้นแบบโครงการสะพานที่มีแพลนจะลงเข็มที่ปักษ์ใต้ ทั้งฝั่งสงขลา และฝั่งสมุย

แม้จะไม่ใช่ระดับ ‘เมกะโปรเจกต์’ ที่เจ้าของรหัส ‘V2’  ผู้ทรงอิทธพล ต้องลงมาล้วงควักเอง แต่ที่เห็นและเป็นไป โครงการ  ‘เรือธง’ ล้วนแต่แล่นไม่ออก ดีไม่ดีกลายเป็น ‘เรือหาย’  เดือดร้อนกันไปอีก นาทีนี้อะไรที่พอแก้ขัดได้ก็คว้าไว้ก่อน

ส่วนเรื่องใหญ่ที่จ่ออยู่อย่างการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่หลายๆเก้าอี้แปะชื่อ ‘อาปู’  เป็นผู้ถือสัมปทาน ก็ดูจะยังไม่สะเด็ดน้ำเสียที แถมมีข่าว ‘หลานอิ๊งค์’  แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถืออำนาจตามกฎหมาย ยังยืนกรานว่า จะไม่ปรับในส่วนของรัฐมนตรีเพื่อไทย ทำเอาเสียง‘โห่เกรียว’ ด้วยเห็นอยู่ว่า ที่นั่งๆ อยู่ตอนนี้ เป็นอย่างไร

จนเป็นเหตุให้ บ้านจันทร์ส่องหล้า สาขาลอนดอน งดรับนัด ‘นักวิ่ง’  เพื่อรอสัญญาณชัวร์ๆ อีกครั้ง หลัง ‘มาดามปู’  ออกตัวแรงให้เขย่าเก้าอี้ดนตรีมาตั้งแต่ต้นปี แต่ต้องเสียอารมณ์ในความเงื้อง่าชักช้า ทั้งที่ควรจะปิดเกมเร็ว 

ปะเหมาะเป็นช่วงใกล้วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 58 ขวบพอดี ก็เลยปล่อยจอย เปิดโหมดส่วนตั๊ว…ส่วนตัว พักผ่อน ‘จัดหนัก’  ชดเชยให้กับตัวเองบ้าง

ก่อนดีเดย์ วันที่ 21 มิถุนายน 2568 วันครบรอบ จะย้ายวิกไปที่ ‘เกาะฮ่องกง’ นัดหมาย ‘จัดใหญ่’ ปาร์ตี้ให้เต็มคราบ กับแขก เหรื่อที่คาดว่า จะแห่แหนไปกันอย่างคับคั่งเป็นพิเศษ

อันจะเป็นภาพสะท้อน ‘บารมี’  ของ ‘V2’  ที่เบ่งบานมาตั้งแต่ ‘รัฐบาลพี่นิด’  เศรษฐา ทวีสิน มาจนถึง ‘รัฐบาลหลานสาว’  ที่ ‘อาปู’  ถือสิทธิ์หยิบจับทั้งคน-โครงการ ได้ยิ่งกว่านายกฯตัวจริงเสียอีก โดยมีพี่ชายที่แสนดี ทักษิณ ชินวัตร ที่จำต้องตามใจแบบแทบไม่มีเงื่อนไขหวัง ‘ฮีลใจ’  น้องสาวที่ยังไม่มีคิวได้กลับประเทศ ตามที่เคยสัญญาไว้ครั้งร่ำลากันที่สิงคโปร์ว่าสงกรานต์ 2567 จะได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน

อีกแง่ก็เป็นการตอบแทน ‘น้องสาว’  ที่กำลังทุ่มสุดตัวกับภารกิจสำคัญปิด ‘ดีลหมื่นโล’  เตรียมลงสู้ศึกเลือกตั้งหน้า

ทิศทางลมยังไม่เป็นใจ ‘ยิ่งลักษณ์’  ที่โดดเดี่ยวอยู่ในต่างแดน ก็เลยได้คลายเหงากับเกมอำนาจเบื้องหลังรัฐบาลไปพลาง

แถมรอบนี้ลอยตัวไม่ต้องรับผิดรับชอบ มีคดีพะรุงพะรัง เหมือนตอนนั่งบัญชาการเองเสียด้วย

<<<<<<>>>>>>>> 

‘ขุนคลังพิชัย’  หืดจับ 

ปิดโครงการกระตุ้น ศก. 1.57 แสนล้าน

ปิดกล่องเรียบร้อย โครงการที่เข้ารอบลุ้นงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่ดึงกลับมาจากเมกะโปรเจกต์ ‘แจกเงินหมื่น’ เฟส 3 ที่เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด หวังนำเงินงบประมาณมากระตุกชีพจรเศรษฐกิจไทย

เดิมทีเม้าท์กันแซ่ดว่า พรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล จะตีมึน ‘เหมาหมด’ โครงการเกี่ยวกับน้ำ-ท่องเที่ยว-คมนาคม ไม่แบ่งให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นเลย แต่ก็ถูกโวยเสียงดังว่า ‘ไม่แฟร์’  ทีตอนรีดก็โดนกันหมด แถมถ้าเล่นพิเรน ระวังจะตายน้ำตื้น เพราะไม่มีหน่วยรับงบประมาณ ที่อยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัด สังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งวันนี้ยังอยู่กับ พรรคภูมิใจไทย

เป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทย ต้องปรับกระบวนใหม่ โดยเปิดให้ทุกกระทรวงเสนอโครงการเข้ามาเพื่อชิง ‘เค้ก’  ก้อนนี้

ทำให้แต่ละกระทรวง ร่อนร่างโครงการเข้าไปแบบมืดฟ้ามัวดิน ซึ่งเป็นทั้งร่างโครงการที่ถูก ‘ตีตก’ในการของบประมาณปี 2569 ตลอดจนโครงการ‘ล้นทะลัก’ไปถึงหลักหลายหมื่นโครงการ รวมงบประมาณมากกว่า 4 แสนล้านบาท หรือ 3 เท่าตัว

แค่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเดียวก็หวัง ‘ฟาด’ ทีเดียวครึ่งก้อน

ยื่นคำขอทั้งสิ้น 21,259 โครงการ วงเงิน 79,960 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15,381 โครงการ วงเงิน 37,428 ล้านบาท

หรือ กระทรวงคมนาคม ก็ขอเฉียด 8 หมื่นล้านบาทเหมือนกัน ครึ่งนึง 4.1 หมื่นล้านบาท เป็นของ กรมทางหลวง อีก 3.7 หมื่นล้านบาท  เป็นของ กรมทางหลวงชนบท ขอไป 37,384 ล้านบาท ส่วนใหญ่ยิบย่อยซ่อมสร้างถนน พร้อมติดเครื่องหมายจราจรเพื่อความปลอดภัย

แค่เกรดเอ  2 กระทรวงก็ไม่พอแล้ว และปรากฏที่บานไปหลักหมื่นโครงการ ก็เพราะ ‘ฝ่ายการเมือง-ฝ่ายประจำ’ รวมหัวกันยัดทะนานบรรดาโครงการ ‘ต่ำห้าแสน’ เข้ามาแบบอื้ออึง นัยว่า เพื่อประหยัดเวลา-ขั้นตอน ไม่ต้องเข้าระบบ E-bidding ใช้คัดเลือก-เจาะจง แทน

ลูกไม้ตื้นๆ รู้กันดีโครงการแบบนี้ไม่เพียงแต่ ‘เบี้ยหัวแตก’ ไม่ได้มรรคผลในวงกว้างแล้ว ยังส่อเจตนาสวาปาม ‘เงินทอน’  กันอีก

เจอแบบนี้ ‘พิชัย ชุณหวชิร’  รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่เป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงกับ ‘เก็กซิม’  สั่งตีกลับทุกโครงการ ให้หน่วยงานทบทวนใหม่ทั้งหมด

ย้ำชัดๆ ตามนโยบาย ‘คุณอิ๊งค์’  แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ  และคณะรัฐมนตรี ได้มีมติกำหนดกรอบเงื่อนไขงบฯก้อนนี้ 4 ด้านคือ

1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและคมนาคม

2.การท่องเที่ยว

3.ลดผลกระทบส่งออก และเพิ่มประสิทธิภาพ  

4.เศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ เพื่อกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ รักษาการจ้างงาน และวางรากฐานการเติบโตระยะยาวของประเทศ ให้มากที่สุด

เป็น 4 วัตถุประสงค์ที่กว้างพอสมควร แต่ต้องพิจารณาภายใต้โจทย์ ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ’  ที่ต้องเน้นว่า ของประเทศและส่วนรวม ไม่ใช่ของตัวเองและพวกพ้อง อย่างที่ชง ‘ขมปี๋’  กะฟาดหวานๆ มาในรอบแรก

จนแล้วจนรอดผ่านการประชุมใหญ่เล็กไม่ต่ำกว่า 10 รอบ โดยที่ ‘ขุนคลังพิชัย’ ไล่ตรวจผ่านตาตัวเองละเอียดยิบ ก็เพิ่งปิดกล่องได้โครงการที่เข้าสู่รอบไฟนอล เตรียมเสนอบอร์ดใหญ่ที่นายกฯเป็นประธานในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 และคาดว่าจะ ‘ไฟเขียว’ เพื่อเข้าที่ประชุม ครม.นัดถัดไป  24 มิถุนายน 2568 เพื่อเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันปีงบประมาณ 68 หรือ ภายใน 30 กันยายน 2568 ซึ่งก็ต้องรอดูว่า งบฯที่ดูไม่ได้มากมาย ที่อุตส่าห์กลั้นใจ ‘ยัก’  กลับมาจากโครงการเรือธงที่แล่นไม่ออก หลุดปม ‘ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ’  มาได้

ท้ายที่สุดจะได้มรรคได้ผล อย่างน้อยก็เป็นหัวเชื้อให้เกิดแรงฟื้นทางเศรษฐกิจบ้าง ไม่ใช่เล่นแร่แปรธาตุ มาให้ ‘แร้งการเมือง’ ทึ้งกันกันแบบไม่เหลือซาก

<<<<<<>>>>>>>> 

การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูฯ 

หมดภูมิคุ้มกันโรคการเมืองแทรก

ตอนที่ประกาศ เข้าแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อ 5  ปีก่อน ไม่มีใครเชื่อว่าการบินไทยจะ ‘รอด’  เพราะตอนนั้น มีหนี้สินถึง 3.5 แสนล้านบาท  ขาดทุนสะสม 28,000  ล้านบาท เหลือเงินสดในมือแค่ 10,000 กว่าล้านบาท  แต่มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 4-5,000 ล้านบาท

มองไปข้างหน้ามีแต่ความมืดมน เพราะสถานการณ์โควิด-19  ทุกประเทศทั่วโลกปิดประเทศ สายการบินทุกสายต้องหยุดบิน  การบินไทยไม่มีรายได้เข้ามาเลย และไม่รู้ว่าเมื่อไรโควิดจะสงบ การเดินทางกลับมาเป็นปกติ

แต่วันนี้ การบินไทยกลับมาแล้ว 

วันที่ 16  มิถุนายน 2568  ศาลล้มละลาย ฯ มีคำสั่งให้การบินไทย ออกจากแผนฟื้นฟู  หลังจากทำตามเงื่อนไข 4  ข้อ ของแผนฟื้นฟูฯได้คือ

1.เพิ่มทุนจดทะเบียน  

2.ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น

3.  มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมย้อนหลัง 12 เดือน ( เมษายน 2567 -มีนาคม 2568) ประมาณ 40,308 ล้านบาท  มากกว่าเงื่อนไขในแผนฟื้นฟูฯที่ต้องมีกำไรไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินเป็นบวก    

4. มีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่

ถ้าเป็นคนไข้อาการขั้น ‘โคม่า’   การบินไทยออกจากห้องไอซียู มาพักฟื้นได้พักใหญ่แล้ว  วันนี้ หมออนุญาตให้กลับบ้าน ไปทำงานได้   เพื่อเตรียมตัวกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง

การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เรื้อรังมานาน

ย้อนหลังกลับไปต้นปี 2563  มีแนวความคิดสองแนวในการจัดการกับปัญหาการบินไทย 

แนวแรกคือ ‘รัฐบาลอุ้มต่อ’    อัดฉีดเงิน50,000  ล้านบาทต่ออายุให้   หรือกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ก้อนใหม่ให้การบินไทย

แนวที่สอง ไม่อุ้ม ปล่อยให้ล้มไปเลย

นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’  เลือกแนวที่ 3  ตามข้อเสนอทีมเศรษฐกิจ รองนายกฯ ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’   คือ ‘ไม่อุ้ม ไม่ล้ม’  แต่ให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟิ้นฟูกิจการ โดยทาบทาม ‘ปิยสวัสด์ อัมระนันทน์’  มาเป็นหัวหน้าทีมฟื้นฟูการบินไทย

ปิยสวัสดิ์ เคยพลิกฟื้นการบินไทยที่ขาดทุนย่ำแย่ให้กลับมามีฐานะการเงินที่มั่นคง  มีกำไร แข่งขันได้  ติดอันดับ  1 ใน 5 สายการบินที่ดีที่สุดในโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง   โดยได้รับการทาบทามจากรัฐบาล ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’   ให้มาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หรือ DD เมื่อเดือนมิถุนายน 2552

พอการบินไทยเริ่มดีขึ้น การเมืองเปลี่ยน รัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’  เข้ามาไม่นาน บอร์ดการบินไทยที่มี ‘อำพล กิตติอำพน’  เลขาธิการคณะรัฐมนตรีในตอนนั้น เป็นประธานบอร์ด  มีมติ ‘ปลด’ปิยสวัสดิ์ จากตำแหน่ง DD  โดยให้เหตุผลว่า มีปัญหาในการสื่อสารกับบอร์ด ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2555

นับจากนั้นเป็นต้นมา  การบินไทยมี DD ผลัดเปลี่ยนหน้ากันเข้ามา 5  คน ในขณะที่ผลประกอบการตกต่ำลงทุกปีๆ  จนไปต่อไม่ได้  เพราะขาดทุนสะสม  และมีหนี้สินจนเกินทุน  ประจวบกับสถานการณ์โควิด เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่รัฐบาลต้องตัดสินใจว่า การบินไทยต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ  โดยเป็นมติ ครม. วันที่ 19 พฤษภาคม 2563

ปิยสวัสดิ์ กลับกอบกู้การบินไทยครั้งที่ 2   ในฐานะประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ มีผู้บริหารแผนอีก 2  คือ ‘พรชัย ฐีระเวช’  จากกระทรวงการคลัง และ ‘ชาญศิลป์ ตรีนุชกร’    อดีตซีอีโอ ปตท.  โดยดึง ‘ชาย  เอี่ยมศิริ’  ลูกหม้อการบินไทย มาเป็นซีอีโอ ฟื้นการฟูกิจการตามแผนที่วางไว้

การบินไทยฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ จนออกจากแผนได้   ด้านหนึ่งเป็นเพราะ ปิยสวัสดิ์ ทีมผู้บริหารแผน ซีอีโอ  ผู้บริหาร และพนักงานการบินไทยที่ ‘ร่วมมือ’ กันกอบกู้บริษัท

อีกปัจจัยสำคัญคือ การอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูฯ เหมือน ‘ภูมิคุ้มกัน’  การแทรกแซงของนักการเมือง ข้าราชการประจำ  ผู้มีอิทธิพลที่เคยแสวงหาผลประโยชน์ในการบินไทย ตั้งแต่การฝากเด็ก แต่งตั้งคนของตัวเองเป็นบอร์ด หรือผู้บริหาร การจัดซื้อจัดจ้าง  การใช้ทรัพย์สินของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตัว  เพราะการบริหารงานทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามแผนฟื้นฟู ฯ   ที่มีศาลล้มละลายกำกับอยู่

วันนี้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูฯแล้ว  ภูมิคุ้มกันก็หมดไป  ตอนนี้กระทรวงการคลังถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วนประมาณ 38 %  รวมกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ เช่น กองทุนวายุภักษ์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน บริษัททิพยประกันภัย  จะมีสัดส่วนถือหุ้นสูงถึง 49%   มีโอกาสที่การบินไทยจะกลับไปสู่ ‘วงจรอุบาทว์’ แบบเดิม ที่ถูกการเมืองแทรกแซงจนย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง

ยกเว้นการบินไทยจะสร้างภูมิคุ้มกันของตัวเองขึ้นมา

<<<<<<>>>>>>>> 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์