ที่พรรคเพื่อไทย วันนี้ (20 ก.ค.) ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารพรรค ว่า วันนี้จะหารือกันเรื่องความชัดเจนการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยไปเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ส่วนจะเป็นชื่อตัวเองหรือไม่ ยังไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรค
ส่วนท่าทีของ สว. และพรรคการเมืองอื่น ที่มีจุดยืนชัดเจนว่าไม่เอารัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกล และไม่ต้องการให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 จะเป็นอุปสรรคต่อการโหวตเห็นชอบให้แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ‘เศรษฐา’ มองว่าเรื่องนี้ต้องให้ทีมเจรจาแต่ละพรรคไปหารือกันก่อน เพราะเรายังยึดโยงกับ 8 พรรคร่วม และเชื่อว่าความสัมพันธ์ของพรรคร่วมยังคงเหนียวแน่น
แต่ส่วนตัวยอมรับว่าการโหวต ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ในรัฐสภาทั้ง 2 ครั้ง มีปัญหาและอุปสรรคสำคัญ คือเรื่องการแก้ไขและยกเลิกมาตรา 112 จึงมองว่าหากพรรคเพื่อไทย มีโอกาสตั้งรัฐบาลและเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในครั้งต่อไป ต้องชัดเจนว่าไม่มีเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112
“ถ้าเกิดมีพรรคที่จะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป เรื่อง 112 ต้องไม่อยู่ในการแก้ไขหรือยกเลิก อันนี้ชัดเจน ไม่งั้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง สว. และอีกหลายพรรคการเมือง คณิตศาสตร์มันค่อนข้างจะพลิกผันมากๆ เลย นับดูก็รู้ว่าเรื่องอะไร”
ส่วนวิธีไหนที่จะทำให้มาตรา 112 ไม่อยู่ในเงื่อนไข และคนเข้าใจพรรคเพื่อไทยว่าไม่ได้หักก้าวไกล ‘เศรษฐา’ ตอบว่าเรื่องนี้พูดแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ ต้องพูดคุยกัน แต่หากถามโดยส่วนตัวคิดว่าถ้ามีมาตรา 112 อยู่ คงไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายพรรค
เมื่อถามว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะดึงพรรคอื่นมาร่วมสนับสนุนเพิ่มหรือไม่ ‘เศรษฐา’ มองว่า คำถามนี้ล้ำหน้าเกินไป ต้องให้เกียรติ 8 พรรคร่วมด้วย เพราะปัจจุบัน 8 พรรครวมกันก็มีเสียงเยอะอยู่แล้ว และยังผูกมัดกันด้วย MOU ต้องให้เกียรติทีมเจรจาว่าจะทำอย่างไรต่อไป
แต่ยอมรับว่า เสียงของ สว. ทั้ง 250 คน ถือว่ามีความสำคัญหากจะเอามาช่วยสนับสนุนโหวตนายกฯ แต่ส่วนตัวคงไม่ต่อสายคุยกับ สว. เพราะรู้จักแค่ 2 คน และเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องหลักการหากคุยกันรู้เรื่องคงได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว.
ผู้สื่อข่าวยังถามว่าการผลักดันให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) ถือว่า 8 พรรค ได้ร่วมกันผลัดดันจนถึงที่สุดแล้วหรือยัง ‘เศรษฐา’ มองว่าหากฟังด้านกฎหมายน่าจะเป็นอย่างนั้น
ส่วนประเด็นที่หลายคนมองว่าสถานการณ์กำลังผลักให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยยืนยันหรือไม่ว่าจะยังจับมือกับพรรคก้าวไกลไปจนสุดทาง ‘เศรษฐา’ ย้อนถามว่า สุดทางคืออะไร สุดทางหมายถึงพรรคก้าวไกลไม่สามารถเสนอชื่อนายกฯ ได้แล้วใช่หรือไม่ เรื่องนี้คงต้องฝากทีมเจรจาหาคำตอบ หากสุดทางแล้วต้องพิจารณาให้พรรคอันดับ 2 ได้รับมอบหมายจัดตั้งรัฐบาลแทน และส่วนตัวอยากให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
ทั้งนี้เป็นที่น่าสนใจว่า หลัง ‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์สื่อเสร็จแล้ว พบว่า ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทย โดยขึ้นไปยังชั้น 7 ของพรรค เบื้องต้นคาดว่า ‘ชัยธวัช’ มาร่วมถกวงหารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับการโหวตนายกฯ ในครั้งต่อไป
ส่วนท่าทีของ สว. และพรรคการเมืองอื่น ที่มีจุดยืนชัดเจนว่าไม่เอารัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกล และไม่ต้องการให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 จะเป็นอุปสรรคต่อการโหวตเห็นชอบให้แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ‘เศรษฐา’ มองว่าเรื่องนี้ต้องให้ทีมเจรจาแต่ละพรรคไปหารือกันก่อน เพราะเรายังยึดโยงกับ 8 พรรคร่วม และเชื่อว่าความสัมพันธ์ของพรรคร่วมยังคงเหนียวแน่น
แต่ส่วนตัวยอมรับว่าการโหวต ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ในรัฐสภาทั้ง 2 ครั้ง มีปัญหาและอุปสรรคสำคัญ คือเรื่องการแก้ไขและยกเลิกมาตรา 112 จึงมองว่าหากพรรคเพื่อไทย มีโอกาสตั้งรัฐบาลและเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในครั้งต่อไป ต้องชัดเจนว่าไม่มีเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112
“ถ้าเกิดมีพรรคที่จะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป เรื่อง 112 ต้องไม่อยู่ในการแก้ไขหรือยกเลิก อันนี้ชัดเจน ไม่งั้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง สว. และอีกหลายพรรคการเมือง คณิตศาสตร์มันค่อนข้างจะพลิกผันมากๆ เลย นับดูก็รู้ว่าเรื่องอะไร”
ส่วนวิธีไหนที่จะทำให้มาตรา 112 ไม่อยู่ในเงื่อนไข และคนเข้าใจพรรคเพื่อไทยว่าไม่ได้หักก้าวไกล ‘เศรษฐา’ ตอบว่าเรื่องนี้พูดแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ ต้องพูดคุยกัน แต่หากถามโดยส่วนตัวคิดว่าถ้ามีมาตรา 112 อยู่ คงไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายพรรค
เมื่อถามว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะดึงพรรคอื่นมาร่วมสนับสนุนเพิ่มหรือไม่ ‘เศรษฐา’ มองว่า คำถามนี้ล้ำหน้าเกินไป ต้องให้เกียรติ 8 พรรคร่วมด้วย เพราะปัจจุบัน 8 พรรครวมกันก็มีเสียงเยอะอยู่แล้ว และยังผูกมัดกันด้วย MOU ต้องให้เกียรติทีมเจรจาว่าจะทำอย่างไรต่อไป
แต่ยอมรับว่า เสียงของ สว. ทั้ง 250 คน ถือว่ามีความสำคัญหากจะเอามาช่วยสนับสนุนโหวตนายกฯ แต่ส่วนตัวคงไม่ต่อสายคุยกับ สว. เพราะรู้จักแค่ 2 คน และเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องหลักการหากคุยกันรู้เรื่องคงได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว.
ผู้สื่อข่าวยังถามว่าการผลักดันให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) ถือว่า 8 พรรค ได้ร่วมกันผลัดดันจนถึงที่สุดแล้วหรือยัง ‘เศรษฐา’ มองว่าหากฟังด้านกฎหมายน่าจะเป็นอย่างนั้น
ส่วนประเด็นที่หลายคนมองว่าสถานการณ์กำลังผลักให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยยืนยันหรือไม่ว่าจะยังจับมือกับพรรคก้าวไกลไปจนสุดทาง ‘เศรษฐา’ ย้อนถามว่า สุดทางคืออะไร สุดทางหมายถึงพรรคก้าวไกลไม่สามารถเสนอชื่อนายกฯ ได้แล้วใช่หรือไม่ เรื่องนี้คงต้องฝากทีมเจรจาหาคำตอบ หากสุดทางแล้วต้องพิจารณาให้พรรคอันดับ 2 ได้รับมอบหมายจัดตั้งรัฐบาลแทน และส่วนตัวอยากให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
ทั้งนี้เป็นที่น่าสนใจว่า หลัง ‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์สื่อเสร็จแล้ว พบว่า ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทย โดยขึ้นไปยังชั้น 7 ของพรรค เบื้องต้นคาดว่า ‘ชัยธวัช’ มาร่วมถกวงหารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับการโหวตนายกฯ ในครั้งต่อไป
