ผุด ‘ทีมไทยแลนด์’ แจงเชิงรุกปม ‘ไทย-กัมพูชา’ ทุกประเด็น

17 มิ.ย. 2568 - 05:34

  • รัฐบาลไทยตั้ง ‘ทีมไทยแลนด์’ รับมือสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา หวังคลี่คลายปัญหาใน 1 เดือน

  • ใช้ ‘สมช.’ เป็นฐานบัญชาการ พร้อมแถลงข่าวทุกเช้า เดินหน้าทั้งงานเฉพาะหน้าและระยะยาว

  • ‘รมช.กลาโหม’ วอนสื่อฯ อย่าสร้างความเกลียดชัง ย้ำปัญหาไม่ใช่ความผิดของชาวกัมพูชาทั้งประเทศ

ผุด ‘ทีมไทยแลนด์’ แจงเชิงรุกปม ‘ไทย-กัมพูชา’ ทุกประเด็น

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงการประชุมศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ในช่วงบ่ายวันนี้ ว่า ปัจจุบันคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจอยู่ระหว่างการยกร่าง และอยู่ในขั้นการประสานงาน คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในวันนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน และบ่ายนี้จะมีการประชุมเพื่อตรวจสอบว่าแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งใครมาร่วม ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง ผู้แทน หรือ ผบ.หน่วย ระดับปลัด หรือเทียบเท่า ซึ่งต้องเป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจได้ทันที เพื่อที่จะได้รับทราบแนวทางการทำงานต่อไป

สำหรับมาตรการเพื่อสนับสนุนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย–กัมพูชา (Regional Border Committee : RBC) ที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อปรับลดกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ ซึ่งคงต้องหารือกัน แต่เป้าหมายของศูนย์นี้คือเพื่อขับเคลื่อนและบูรณาการงานเฉพาะหน้า พร้อมทั้งรับทราบและติดตามงานระยะยาว เช่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC) และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) แต่ยืนยันว่า “ศูนย์ดังกล่าวไม่ควรอยู่นานเกิน 1 เดือน” และจะพยายามคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อไปว่า ศูนย์นี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น กรณีปิดด่านบ้านแหลมและด่านผักกาด จังหวัดจันทบุรี ทำให้ไม่สามารถขนส่งผลไม้ไทยข้ามแดนได้ โดยได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีและ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้กระทรวงพาณิชย์รับซื้อผักผลไม้ทั้งหมด รวมถึงเชิญภาคเอกชนมาช่วยซื้อ

ซึ่งขณะนี้ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ หากในอนาคตกัมพูชาปิดด่านอื่นไม่ให้นักเรียนเข้ามาเรียน ก็ต้องหารือกับกระทรวงศึกษาธิการในการแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นเหตุผลจำเป็นที่ต้องตั้งหัวหน้าแต่ละหน่วยงานมาอยู่ในศูนย์นี้

ศูนย์ดังกล่าวจะมีโฆษกชี้แจงข่าวสารเชิงรุก โดยตั้ง พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพไทย และรองโฆษกกองทัพไทย รับหน้าที่โฆษกงานความมั่นคง และให้อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงด้านต่างประเทศ ซึ่งจะต้องชี้แจงทุกประเด็น ทั้งในโซเชียลมีเดีย หรือกรณีสมเด็จฮุนเซน ที่ออกมาโพสต์ข้อความประจำ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ เริ่มทำงานตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป

ส่วนชื่อศูนย์ ขณะนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอยู่ แต่เบื้องต้นใช้ชื่อ “ทีมไทยแลนด์” โดยใช้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นสถานที่ทำงานและใช้ตึกนารีสโมสรแถลงข่าวมีการประชุมเวลา 09.30 น. ของทุกวัน ซึ่งยอมรับว่ารูปแบบคล้าย ศปก.ศบค. (ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19) แต่ไม่เหมือนทั้งหมด เพราะมีทั้งงานเฉพาะหน้าและงานระยะยาว พร้อมยืนยันว่าจะไม่ก้าวก่ายงานของหน่วยอื่น เช่น กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพ

เมื่อถามว่า ศูนย์นี้มีอำนาจพิจารณามาตรการตอบโต้หรือไม่? พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า “ก็ไม่เชิง” หากเป็นมาตรการที่อยู่ในอำนาจซึ่งสามารถตกลงกันได้ เราก็ดำเนินการอยู่แล้ว และเคยรวมตัวกันมาก่อน เพียงแต่มาทำให้เป็นทางการ มาตรการตอบโต้บางอย่างก็จำเป็น หากกัมพูชาดำเนินการที่ส่งผลต่อชายแดน แต่ต้องเสนอให้นายกรัฐมนตรีรับทราบและตกลงกัน

นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชาเคยขอให้ไทยทำความเข้าใจกับสื่อและประชาชน ไม่ให้เสนอข่าวสร้างความเกลียดชัง ซึ่งได้ชี้แจงไปแล้วว่า “ประเทศไทยให้เสรีภาพแก่สื่อฯ และประชาชนในการแสดงความเห็น ต่างจากกัมพูชาที่มีแนวเสนอข่าวแบบเดียวกัน”

อยากขอสื่อฯ และประชาชนอย่านำเสนอให้เกิดความเกลียด เพราะคนกัมพูชาส่วนหนึ่งก็ทำงานอยู่ที่ประเทศไทยหลักแสนคน และอีกทั้งคนกัมพูชาทั้งประเทศไม่ได้คิดแบบนั้นเสมอไป จึงอยากให้ช่วยกัน เพราะทุกคนคงรู้ว่าเหตุการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะคนกัมพูชาทั้งประเทศหรือไม่ การไปสร้างความเกลียดชังคนกัมพูชาทั้งหมด ไม่น่าจะถูกต้อง

เมื่อถามถึงกรณีที่จังหวัดสระแก้ว ห้ามคนไทยข้ามแดนไปกาสิโนฝั่งกัมพูชา ถือเป็นมาตรการตอบโต้หรือไม่? พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า “เป็น 1 ใน 4 มาตรการ เรื่องการเปิด-ปิดด่าน ผมยืนยันว่า เราเปิดด่านตลอดเวลา เพียงแต่กำหนดเวลาเปิด​ - ปิด จึงไม่อยากให้ใช้คำว่าปิดด่าน เพราะทางฝ่ายกัมพูชาหยิบไปเป็นประเด็น

ยืนยันว่าเราคิดถึงความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองฝั่ง เพราะเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาเรื่องดังกล่าว ถึงแม้ว่า คนของกัมพูชาจะเชื่อทางฝั่งสมเด็จฮุนเซน ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ก็มองว่า ชาวกัมพูชาอีกส่วนหนึ่งไม่น่าจะมีความคิดเช่นนั้น”

ขอวิงวอนให้สื่อฯ ลงข้อมูลให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้น ผมก็จะโดนโจมตีว่าเป็นคนไทยหัวใจเขมร เหมือนที่ผ่านมา

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์