22 พ.ค. 66 ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ ‘เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ เลขาธิการพรรค ประชุมร่วมกับว่าที่ ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งรูปแบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส. เขต โดย กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรครู้สึกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ ส.ส.มา 36 คนถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะใช้เวลาในการต่อสู้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ที่ทำให้ความนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นหลังจากลงมาช่วยหาเสียงในช่วง 3 เดือน และหลายสิ่งก็เป็นสิ่งที่ท่านไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ทำด้วยความเต็มใจ จนกระทั่งวันนี้ทุกคนผ่านอุปสรรคมาจนได้เป็น ส.ส.ในวันนี้ต้องขอขอบคุณที่ทุกต่อสู้มาตลอด มั่นใจว่าในอนาคต ส.ส ของพรรครวมไทยสร้างชาติจะได้เข้ามามากกว่านี้ จากคะแนนที่เห็นว่าอยู่ในลำดับที่ 2 ที่สำคัญคือ ต้องสร้างความเชื่อถือความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อไปให้ต่อเนื่องต่อไป
“วันนี้ ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ขอให้ทุกคน ทำงานอย่างตั้งใจ โดยถือเอาประโยชน์ของบ้านเมือง ของพรรค และประชาชนนำหน้า เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า เป็นพรรคที่พวกเขาจะสามารถฝากอนาคตไว้ได้” พีระพันธุ์กล่าว
หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าวด้วยว่า แม้ว่าพรรคจะเป็นพรรคในเชิงอนุรักษ์ แต่ก็จะต้องมีความก้าวหน้าปรับเปลี่ยน ให้ทันกับยุคและทันสมัยตามกาลเวลา แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นไทย ซึ่งจะเป็นแนวทางในการดำเนินงานของพรรคต่อไป
“สิ่งที่จะทำได้ ก็คือ การสร้างคนรุ่นใหม่ รับคนรุ่นใหม่เข้ามา ทำงานกับพรรคให้มากขึ้น เพื่อนำแนวคิดใหม่ๆ เข้ามาช่วยงานเพื่อเตรียมสู่การเลือกตั้งครั้งที่สำคัญ และขอให้ทุกคนรวมกันเป็นปึกแผ่นอย่าแตกแยกกัน” พีระพันธุ์ กล่าว
ด้าน เอกนัฏ กล่าวต่อว่า ตนต้องขอขอบคุณทุกคนที่ได้สู้ต่อสู้ในสนามการเมืองกันมาอย่างสุดตัว กว่าจะฝ่าด่านมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่ก็ได้ ส.ส.มาถึง 36 ที่นั่ง และยังได้เสียงจากพี่น้องประชาชนมากกว่า 4.6 ล้านเสียง ถือว่าเป็นความสำเร็จ
เอกนัฏ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาช่วยหาเสียง ซึ่งตนก็ไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าจะได้ขึ้นเวที และได้ไปขึ้นปราศรัยคู่กับลุงตู่หลายต่อหลายเวที ที่ผ่านมาตนรู้สึกประทับใจมาก และเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถปราศรัยได้สุดยอด เรียกคะแนนนิยมได้เป็นอย่างดี
“ที่สำคัญจะเห็นได้ว่า หลายจังหวัดเบอร์ 22 มาเป็นที่หนึ่ง แม้จะถูกโจมตีในหลายประเด็น แต่ก็สามารถทำให้คะแนนนิยมอยู่ในลำดับที่หนึ่งอย่างน่าพอใจ” เอกนัฏ กล่าว
เอกนัฏ กล่าวต่อว่า ตอนนี้การเมืองกำลังเปลี่ยน ดังนั้นแนวทางการทำงานของพรรคต่อจากนี้ ต้องเดินไปข้างหน้านอกจากเรื่องของนโยบายแล้ว พรรคจะเน้นเรื่องการบริหารจัดการ การสื่อสาร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่การรีแบรนดิ้ง เพราะว่าแบรนด์ รทสช. ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ เพียงแต่จะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการทำงานบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“โดยจะมีการดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่า สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนได้อย่างชัดเจน โดยจะต้องขอความร่วมมือจาก ส.ส.ทุกคน ในการดำเนินการหลังจากนี้” เอกนัฏ กล่าว
“วันนี้ ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ขอให้ทุกคน ทำงานอย่างตั้งใจ โดยถือเอาประโยชน์ของบ้านเมือง ของพรรค และประชาชนนำหน้า เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า เป็นพรรคที่พวกเขาจะสามารถฝากอนาคตไว้ได้” พีระพันธุ์กล่าว
หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าวด้วยว่า แม้ว่าพรรคจะเป็นพรรคในเชิงอนุรักษ์ แต่ก็จะต้องมีความก้าวหน้าปรับเปลี่ยน ให้ทันกับยุคและทันสมัยตามกาลเวลา แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นไทย ซึ่งจะเป็นแนวทางในการดำเนินงานของพรรคต่อไป
“สิ่งที่จะทำได้ ก็คือ การสร้างคนรุ่นใหม่ รับคนรุ่นใหม่เข้ามา ทำงานกับพรรคให้มากขึ้น เพื่อนำแนวคิดใหม่ๆ เข้ามาช่วยงานเพื่อเตรียมสู่การเลือกตั้งครั้งที่สำคัญ และขอให้ทุกคนรวมกันเป็นปึกแผ่นอย่าแตกแยกกัน” พีระพันธุ์ กล่าว
ด้าน เอกนัฏ กล่าวต่อว่า ตนต้องขอขอบคุณทุกคนที่ได้สู้ต่อสู้ในสนามการเมืองกันมาอย่างสุดตัว กว่าจะฝ่าด่านมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่ก็ได้ ส.ส.มาถึง 36 ที่นั่ง และยังได้เสียงจากพี่น้องประชาชนมากกว่า 4.6 ล้านเสียง ถือว่าเป็นความสำเร็จ
เอกนัฏ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาช่วยหาเสียง ซึ่งตนก็ไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าจะได้ขึ้นเวที และได้ไปขึ้นปราศรัยคู่กับลุงตู่หลายต่อหลายเวที ที่ผ่านมาตนรู้สึกประทับใจมาก และเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถปราศรัยได้สุดยอด เรียกคะแนนนิยมได้เป็นอย่างดี
“ที่สำคัญจะเห็นได้ว่า หลายจังหวัดเบอร์ 22 มาเป็นที่หนึ่ง แม้จะถูกโจมตีในหลายประเด็น แต่ก็สามารถทำให้คะแนนนิยมอยู่ในลำดับที่หนึ่งอย่างน่าพอใจ” เอกนัฏ กล่าว
เอกนัฏ กล่าวต่อว่า ตอนนี้การเมืองกำลังเปลี่ยน ดังนั้นแนวทางการทำงานของพรรคต่อจากนี้ ต้องเดินไปข้างหน้านอกจากเรื่องของนโยบายแล้ว พรรคจะเน้นเรื่องการบริหารจัดการ การสื่อสาร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่การรีแบรนดิ้ง เพราะว่าแบรนด์ รทสช. ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ เพียงแต่จะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการทำงานบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“โดยจะมีการดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่า สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนได้อย่างชัดเจน โดยจะต้องขอความร่วมมือจาก ส.ส.ทุกคน ในการดำเนินการหลังจากนี้” เอกนัฏ กล่าว