มอง ‘ไทย’ เยี่ยง ‘มิตร’ อ่านมิติ ‘แรงงานกพช.’ ไม่กลับประเทศ

17 มิ.ย. 2568 - 13:23

  • ตกผลึกความ ‘แรงงานกัมพูชา’ ท่ามกลางกระแส ‘ชาตินิยม’ กรณีพิพาทชายแดน ‘ไทย - กัมพูชา’ กับความสัมพันธ์ฉัน ‘มิตร’ ในมุมมองของ ‘อดิศร เกิดมงคล’ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ

มอง ‘ไทย’ เยี่ยง ‘มิตร’ อ่านมิติ ‘แรงงานกพช.’ ไม่กลับประเทศ

ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดระหว่าง 'ไทย' กับ 'กัมพูชา' หลายคนเริ่มโยงประเด็น 'ความรักชาติ' เข้ากับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 'คนกัมพูชา' ไม่เว้นแม้แต่ 'แรงงานข้ามชาติ' ซึ่งกลายเป็นเป้าของการแสดงความเห็นรุนแรงในโลกโซเชียล หลังจากที่ 'สมเด็จฮุน เซน' ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนให้แรงงานกลับประเทศ 

แม้หลายฝ่ายจะเข้าใจว่าเป็น 'กลยุทธ์ทางการเมือง' ของผู้นำกัมพูชา เพื่อกระตุ้น 'กระแสชาตินิยม' และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในช่วงใกล้การเลือกตั้ง (ที่กำลังจะมาถึง) แต่ในความเป็นจริง 'แรงงานกัมพูชา' จำนวนมากยังคงเลือกอยู่ทำงานในไทย นำไปสู่คำถามว่า ทำไมแรงงานเหล่านี้ยังไม่กลับบ้าน ? ภายใต้บรรยากาศของความเกลียดชังทางชาติพันธุ์ที่เริ่มแผ่ขยายในสังคมไทย 

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องไม่กระทบ 'แรงงาน'

"เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่จะกระทบกับเครือข่ายแรงงาน เป็นสิ่งที่รัฐบาลและคนไทยต้องตั้งหลักให้ดี โดยเฉพาะกระแสการหาแพะที่เป็นคนชาวกัมพูชาในไทย ตรงนี้เราต้องระวังให้ดี”  

'อดิศร เกิดมงคล' เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ แสดงความกังวลว่าความขัดแย้งชายแดน อาจส่งผลต่อภาคแรงงาน ที่ไทยยังคงต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะชาวกัมพูชา เขาชี้ว่าในช่วงที่กระแสชาตินิยมรุนแรงขึ้น แรงงานเขมรเริ่มตกเป็นเป้าของวาทกรรมคุกคามทางวาจาในสังคมไทย 

เขาอธิบายว่า แรงงานกัมพูชาไม่น้อยมองไทยเหมือน 'บ้านหลังที่สอง' เพราะไทยให้โอกาสในการทำงานและสร้างรายได้ส่งกลับบ้าน สายสัมพันธ์ระหว่าง 'แรงงาน' และ 'นายจ้าง' จึงมีลักษณะใกล้ชิด ซึ่งแรงงานเหล่านี้เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2539 ช่วงการบริหารของ 'รัฐบาลชาติชาย' ซึ่งตรงกับช่วงที่กัมพูชายังอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศหลังสงครามกลางเมือง

ส่วนกระแสชาตินิยม ที่มาพร้อมกับความขัดแย้งชายแดน และความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม มาจากกระแสความไม่พอใจกัมพูชาของคนไทย (อันมีอยู่เป็นทุนเดิม) จากเรื่อง ‘การพยายามเคลม’ วัฒนธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องของทั้ง 2 ชาติ แต่ในมุมคิดของอดิศรถือเป็นเรื่องปกติเสมือน ‘การแลกเปลี่ยนเชิงวัฒนธรรม’ ทั่วไป ซึ่งหากตัดประเด็นในส่วนนี้ออก ก็จะเห็นความใกล้ชิดในมิติต่างๆ มากขึ้น   

“ผมคุยกับแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทยมาเป็นสิบๆ ปี เขาบอกว่าเขาสบายใจที่ได้ทำงานเป็นแรงงานที่นี่ เขามองว่าเราช่วยทั้งเขาและครอบครัวทางบ้าน ดังนั้นในสายตาของเขา เราไม่ได้เอาเปรียบมากนัก แม้อาจจะมีนายจ้างบางส่วนที่ทำไม่ดีกับเขาอยู่บ้าง แต่หลายครั้งที่เขาใช้กลไกของรัฐไทยเข้ามาช่วยแก้ปัญหา”

อดิศร กล่าว

โอกาสและความมั่นคง คือปัจจัยหลัก

เหตุผลที่แรงงานกัมพูชาเลือกอยู่ต่อในไทย คือเรื่องรายได้และความมั่นคง ชาวกัมพูชายังมองว่าโอกาสในตลาดแรงงานไทยดีกว่าในประเทศของตนเอง และหลายคนสามารถนำเงินกลับไปเลี้ยงดูครอบครัว จึงยังไม่มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะกลับตามคำเชิญของรัฐบาลกัมพูชา 

อดิศร ยังยกกรณีพิพาท 'เขาพระวิหาร' ในอดีต (ช่วงคาบเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มกปปส. -การทำรัฐประหารโดย คสช.) มาเปรียบเทียบ ถึงแม้จะไม่มีการปะทะเหมือนกรณีล่าสุด แต่ก็ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากเดินทางกลับ เพราะความกลัวการจับกุมและขับไล่โดยรัฐไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 'ความไม่ปลอดภัย' เป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจของแรงงาน 

เขาย้ำว่า หากไทยไม่สามารถสร้างสวัสดิภาพแรงงานที่ดี หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรงจนเป็นข่าว อาจเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้แรงงานตัดสินใจกลับประเทศ ซึ่งไม่ใช่คำขอของรัฐบาลกัมพูชา 

ดังนั้น ในภาวะที่เกิดพิพาทชายแดน และส่งผลต่อความรู้สึกของคนในชาติ รัฐบาลจำเป็นจะต้องหาคำอธิบายที่ชัดเจน กรณีหากมีการ ‘บังคับใช้กฎหมายกับแรงงานกัมพูชา’ เพื่อไม่ทำให้พลเมืองไทย เข้าใจว่ารัฐพยายามใช้อำนาจในการ ‘เล่นงานเขมร’ อยู่  

“สมมติมีกระแสสร้างความรังเกลียด หรือมีพฤติกรรมคุกคามชาวกัมพูชามากๆ จนเป็นข่าวใหญ่ อาจทำแรงงานตัดสินใจกลับประเทศ ดังนั้นผมจึงคิดว่าข้อเรียกร้องหรือเชิญชวนของรัฐบาลกัมพูชา (ให้แรงงานกลับบ้าน) ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อความคิดของแรงงานแต่อย่างใด”  

อย่าเปลี่ยนความขัดแย้ง 'รัฐต่อรัฐ' ให้กลายเป็น 'ความเกลียดชังระหว่างประชาชน' 

สำหรับกรณีพิพาทชายแดนล่าสุด อดิศรเน้นว่า ควรแยกแยะระหว่างปัญหาทางการเมืองระดับรัฐ กับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน เขาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่อแรงงานข้ามชาติ เพราะชาวกัมพูชาเป็นฟันเฟืองสำคัญในอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตรและก่อสร้าง ซึ่งมีแรงงานอยู่กว่า 200,000 คน หากแรงงานเหล่านี้หายไป จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทันที 

ดังนั้นการใช้ ‘อารมณ์’ นำหน้าแบบยึดหลัก ‘ชาตินิยมสุดโต่ง’ อาจไม่ใช่ทางทีดี แต่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญ ที่ควรมีบทบาท ในภาวะแบบนี้ คือ

  • ท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อชาวกัมพูชาในไทย
  • ท่าทีของกระทรวงแรงงานที่จะต้องออกมาคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ ในภาวะความบาดหมางระหว่างรัฐต่อรัฐ   

“รัฐบาลไทยต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คำพูดของฮุนเซนไม่เป็นจริง คืออย่าไปสร้าง หรือตามกระแสให้เกิดความขัดแย้ง ที่จะถูกยกระดับจากรัฐต่อรัฐ มาเป็นประชาชนต่อประชาชน จนอาจลุกลามให้คนใช้ความรุนแรงกันเอง ตรงนี้ก็จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายชอบธรรมทันที เราต้องระวังตรงจุดนี้”

อดิศร กล่าว

เขาสรุปว่า รัฐบาลไทยต้องไม่ปล่อยให้ 'วาทกรรมชาตินิยม' หรือ 'อารมณ์ความเกลียดชัง' กลายเป็นตัวขับเคลื่อนนโยบายแรงงาน เพราะในท้ายที่สุด ทั้งไทยและกัมพูชาต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่เพียงในมิติแรงงาน แต่รวมถึง 'ความสัมพันธ์ของมนุษยชาติ' ที่ควรเคารพซึ่งกันและกัน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์