หน้าร้อนปีนี้อากาศร้อนมาก จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดไว้ว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนนี้ แต่อุณภูมิที่เราเห็นว่าสูงจัดเกิน 40-43 องศาเซลเซียส ที่จริงแล้วเรารู้สึกได้ว่ามันร้อนกว่านั้น เรียกว่า ค่าดัชนีความร้อน
ที่ออกมาเตือนค่าดัชนีความร้อน เพราะยิ่งสูงยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นลมแดดหรือฮีทสโตรก ที่ทำให้คนเราเสียชีวิตได้
สรุปให้เข้าใจง่าย ก็คือเป็นค่าความร้อนที่เรารู้สึก ยิ่งความชื้นสูง เราจะรู้สึกร้อนมากขึ้น มากกว่าอุณหภูมิที่วัดได้ เพราะความชื้นสูงจะระบายความร้อนยาก เราจะรู้สึกอึดอัด
เมื่อระบายความร้อนไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดฮีทสโตรก หรือลมแดดนั่นเอง คือกล้ามเนื้อสร้างความร้อนมากจนร่างกายรับไม่ไหว และเกิดปฏิกิริยาการตอบสนอง อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลว และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดูจากตารางดัชนีความร้อนจะเห็นว่า ถ้าอุณหภูมิที่วัดได้ คือ 36 องศาเซลเซียส แต่ถ้าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 50% ค่าดัชนีความร้อน หรือความร้อนที่ร่างกายเรารู้สึกจะอยู่ที่ 42 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับสีส้ม ที่ถือว่าอันตราย แต่ถ้าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 70 % ค่าดัชนีความร้อน หรือค่าความร้อนที่เรารู้สึกจะอยู่ที่ 52 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าอันตรายมากเลยทีเดียว
ที่ออกมาเตือนค่าดัชนีความร้อน เพราะยิ่งสูงยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นลมแดดหรือฮีทสโตรก ที่ทำให้คนเราเสียชีวิตได้
ดัชนีความร้อนคืออะไร
ดัชนีความร้อน คืออุณหภูมิที่เรารู้สึกได้ว่าขณะนั้น อากาศร้อนเป็นอย่างไร โดยนําเอาค่าอุณหภูมิของอากาศที่ตรวจวัดได้จริงและความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ มาทําการวิเคราะห์หาค่าที่เป็นตัวแทนของอุณหภูมิที่คนเรารู้สึกได้ในสภาวะอากาศขณะนั้นสรุปให้เข้าใจง่าย ก็คือเป็นค่าความร้อนที่เรารู้สึก ยิ่งความชื้นสูง เราจะรู้สึกร้อนมากขึ้น มากกว่าอุณหภูมิที่วัดได้ เพราะความชื้นสูงจะระบายความร้อนยาก เราจะรู้สึกอึดอัด
เมื่อระบายความร้อนไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดฮีทสโตรก หรือลมแดดนั่นเอง คือกล้ามเนื้อสร้างความร้อนมากจนร่างกายรับไม่ไหว และเกิดปฏิกิริยาการตอบสนอง อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลว และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดูจากตารางดัชนีความร้อนจะเห็นว่า ถ้าอุณหภูมิที่วัดได้ คือ 36 องศาเซลเซียส แต่ถ้าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 50% ค่าดัชนีความร้อน หรือความร้อนที่ร่างกายเรารู้สึกจะอยู่ที่ 42 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับสีส้ม ที่ถือว่าอันตราย แต่ถ้าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 70 % ค่าดัชนีความร้อน หรือค่าความร้อนที่เรารู้สึกจะอยู่ที่ 52 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าอันตรายมากเลยทีเดียว


ค่าแต่ละระดับที่กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมอนามัยเตือน
27-32 องศาเซลเซียส สีเขียว คือ ระดับเฝ้าระวัง ถ้าทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ท่ามกลางอากาศร้อนระดับนี้ จะรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ32-41 องศาเซลเซียส สีเหลือง ระดับเตือนภัย เกิดอาการตะคริวจากความร้อน และอาจเกิดอาการเพลียแดด ถ้าสัมผัสอากาศร้อนเป็นเวลานาน
41-54 องศาเซลเซียส สีส้ม มีอาการตะคริวที่น่อง ต้นขา หน้าท้องและไหล่ ปวดเกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเป็นลมแดดได้
และ 54 องศาเซลเซียส ขึ้นไป เป็นสีแดง ระดับอันตรายมาก เกิดภาวะลมแดด ตัวร้อน ตัวร้อน เวียนศีรษะ หน้ามืด ซึมลง ระบบอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว อาจเสียชีวิตได้ ถ้าสัมผัสอากาศร้อนมากติดต่อกันหลายวัน
เราสามารถดูการคาดหมายค่าดัชนีความร้อนจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ ซึ่งจะคาดการณ์เป็นแผนที่สีคร่าวๆ ล่วงหน้า 10 วัน และคาดหมายเป็นรายจังหวัดที่ดัชนีความร้อนสูงสุดล่วงหน้า 3 วัน จากเว็บไซต์: กรมอุตุนิยมวิทยา

ช่วงเที่ยงถึงบ่าย หลายพื้นที่มีค่าดัชนีความร้อนสูงมาก อยู่ในระดับสีส้ม ถือว่าอันตราย เสี่ยงเป็นลมแดด และบางวันอยู่ในระดับสีแดง คืออันตรายมาก (เช่น วันที่ 9 เมษายน 2566 ที่ จ.กระบี่ ดัชนีความร้อน มากกว่า 54) ดังนั้นขอให้ดูแลตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ควรอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท และมีอุณหภูมิที่ไม่ร้อนจนเกินไป สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ดื่มน้ำบ่อยๆ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชาและกาแฟ ถ้าจำเป็นต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ควรพกพัดลมพกพา พัด หรือผ้าชุบน้ำ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย