คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการพิจารณาสำนวนการสอบสวนความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือคดีฮั้วประมูล ว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสอบสวนคดีนอมินี บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เสร็จสิ้น จึงได้ขยายผลเรื่องการได้มาซึ่งสัญญา 3 ฉบับ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) อันประกอบด้วย สัญญารับเหมาก่อสร้าง สัญญาการออกแบบ และสัญญาการควบคุมงาน พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
และจากการสอบปากคำพยานกลุ่มบริษัทที่เคยเสนอราคา E-Bidding หรือคัดเลือกแล้วแต่กรณี จนมีความชัดเจนแล้วว่านอกจาก 6 รายในกิจการร่วมค้า PKW (ตามสัญญาการควบคุมงาน) ยังมีผู้บริหารระดับสูงของ สตง. เข้ามาเกี่ยวข้องในสัญญาฮั้วประมูล ทั้งนี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษที่ 58/2568 และได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญ ก่อนส่งข้อมูลให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกันในส่วนของตำแหน่งหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า สำหรับพฤติการณ์ความผิดของบุคคล 6 รายภายใต้กิจการร่วมค้า PKW คือ
1.บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด
2.ปฏิวัติ ศิริไทย
3.บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด
4.กฤตภัฏ
5.บริษัท ว. และสหายคอนซัลแตนส์ จำกัด โดย โชควิชิต ลักษณากร หรือ พลเดช เทอดพิทักษ์วานิช และ ปราณีต แสงอลังการ
6.พลเดช เทอดพิทักษ์วานิช ซึ่งหน้าที่ควบคุมงาน ตามสัญญาการควบคุมงานนั้น ตามขั้นตอนแล้วจะต้องมีวิศวกรมาควบคุมงานจริง แต่ในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานกลับพบว่ามีการปลอมเอกสารลายเซ็นของวิศวกรเพื่อให้ได้งาน
ทั้งนี้ พยานปากสำคัญภายในสำนักงาน สตง. ได้มาให้ข้อมูลกับดีเอสไอ กล่าวโทษตามกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11 “เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด หรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐผู้ใดโดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท“ ต่อ กฤตภัฏ (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการร่วมค้า PKW ร่วมกันกับอดีตผู้ว่า สตง. และประธาน สตง. จัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด
ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง จวบจนการควบคุมงาน ทำให้พบว่าผู้บริหารระดับสูงของ สตง. ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการฮั้วประมูล มีพฤติกรรมเป็นคนจัดฮั้วประมูล ล็อคสเป็กว่าจะเอาหรือไม่เอาบริษัทใดบ้าง อาทิ การออกแบบ ได้มีการเจาะจงเลือกบริษัทไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด มาเขียนแบบ เพื่อเอื้อให้บริษัทจีน (กิจการร่วมค้า ITD-CREC : บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ และบริษัท อิตาเลียนไทยฯ)ได้ก่อสร้าง จากนั้นก็เอาบริษัทควบคุมงาน(กิจการร่วมค้า PKW) ที่ไม่ได้มีการควบคุมงานจริงมาอ้างใช้ในการควบคุมงาน พฤติกรรมเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการนำเอาเงินของรัฐไปทำให้เกิดความเสียหาย
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า ดีเอสไอจะเร่งส่งสำนวนการสอบสวนคดีฮั้วประมูลให้สำนักงาน ป.ป.ช.ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อที่ ป.ป.ช.จะได้นำเรื่องเข้าคณะกรรมการ ป.ป.ช.(ชุดใหญ่) เพื่อพิจารณาว่าจะมอบหมายให้ดีเอสไอดำเนินการบางส่วน หรือ ป.ป.ช. จะดำเนินการเองทั้งหมด
ทั้งนี้ ผู้บริหารของ สตง.ที่มีรายชื่อปรากฏในสำนวนฮั้วประมูล ที่เตรียมส่งให้ ป.ป.ช.ไต่สวน พร้อม 6 ผู้บริหารของกิจการร่วมค้า PKW โดยมีทั้งหมด 3 รย ที่ 1 ในนั้นเป็นผู้บริหารสูงสุด และอดีตผู้บริหาร และเลขานุการของผู้บริหาร