พรเทพ อินทะชัยเลขาธิการหอการค้าภาคเหนือ เปิดเผยถึงกรณีปัญหาการพบสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกกสูงเกินค่ามาตรฐาน และเริ่มส่งผลกระทบมายังแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย สาเหตุจากการทำเหมืองแร่แบบเปิดที่ไม่มีระบบบำบัดมลพิษ และใช้สารเคมีในกระบวนการแต่งแร่ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ภายใต้เขตอิทธิพลของกองทัพสหรัฐว้านั้น ถือเป็นภัยพิบัติใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ชาวเชียงใหม่ และชาวเชียงรายจะต้องเผชิญเท่านั้น แต่หมายถึงประชากรที่พึ่งพาอาศัยแม่น้ำกก และแม่น้ำสาขาทั้งประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านจะได้รับผลกระทบทั้งหมด
“ดังนั้น การวางแผนจัดการเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยมีบทเรียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และจังหวัดเชียงรายถูกน้ำท่วมดินโคลนถล่มหนักที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ น่าจะมีการถอดบทเรียน เพื่อนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการรับมือภัยความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ”
“สิ่งสำคัญคือ ระบบการสื่อสารที่จะให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และชัดเจน ไม่เช่นนั้น ความวิตกกังวลจากเรื่องนี้ ไม่ได้กระทบเฉพาะประชาชน และนั่นหมายถึง ระบบเศรษฐกิจ จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหว”

สำหรับจังหวัดเชียงราย ถือว่าประสบกับภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นมลพิษฝุ่นข้ามแดน, น้ำท่วม และสารปนเปื้อนจากแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำต่างๆ ในเขตประเทศไทย สิ่งที่ภาครัฐต้องทำคือ ต้องนำระบบของการตรวจวัดคุณภาพทางอากาศ และการรายงานผลในแต่ละวัน เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ มาปรับใช้กับปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า การใช้ประโยชน์จากแม่น้ำกกมีความปลอดภัยในระดับไหน และควรมีวิธีการรับมือ เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของตนเองได้อย่างไร
“ไม่เช่นนั้น หากปล่อยให้ปัญหานี้เนิ่นนานไป ไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพ แต่ยังทำให้เสียบรรยากาศการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ที่จะมีข้อกังวล ถึงน้ำดื่ม น้ำใช้ หรือแม้แต่อาหารที่จะบริโภค จะมีสารปนเปื้อนหรือไม่ เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องปฏิบัติการเชิงรุก”

พรเทพ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ในการยกระดับเป็นเมดิเคิลฮับ แต่หากว่าเราไม่สามารถจัดการสภาพแวดล้อมของประเทศให้ปลอดภัยได้ ยุทธศาสตร์นี้ก็จะเป็นอุปสรรค ในการขับเคลื่อน นอกจากนั้น จังหวัดเชียงราย ไม่ได้เจอปัญหาสิ่งแวดล้อมเพียงด้านเดียว “จึงมองว่า ควรมีการยกระดับไปสู่เมืองสมาร์ทซิตี้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมมาช่วยบริหารจัดการเมืองอย่างเป็นระบบ มีฐานข้อมูล และนำข้อมูลไปวิเคราะห์ เพื่อแก้ไขปัญหา และลดความเสี่ยงได้ ที่สำคัญ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาได้ด้วย”

ปฐมพงษ์ ฤทธิ์แพลง ประธานผู้ใช้น้ำฝั่งขวา ฝายเชียงราย กล่าวว่า เกษตรกรริมฝั่งแม่น้ำกก ได้พึ่งพาแม่น้ำกกทำการเกษตรมานานแล้ว และมีความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ แต่เมื่อแม่น้ำกกพบสารปนเปื้อน ก็ยังไม่รู้ว่าทิศทางหลังจากนี้จะทำอย่างไรในการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น
“ทุกวันนี้คนหาปลาในแม่น้ำกก ไม่มีรายได้มาเป็นเดือนแล้ว ไม่มีใครกล้าลงแม่น้ำกก หรือแม้แต่จะต้องเสี่ยงไปหาปลามาขาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อ ขณะที่ชาวนาที่ทำนากันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย นับหมื่นไร่ ใน 1 ปี ทำนา 2 ครั้ง ก็ยังไม่มั่นใจว่า ควรจะเสี่ยงต่อการลงทุนหรือไม่ และในอนาคตหากพบข้าวว่ามีสารปนเปื้อน ทุกคนจะไปทำอาชีพอะไรกัน”

ด้าน ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม สาขาการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า ยังยืนยันว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาคือ รัฐบาลต้องเจรจากับทางรัฐบาลเมียนมา และรัฐบาลจีน ให้มีการปิดเหมือง แม้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมเกษตรจังหวัด ได้ลงพื้นที่ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ตรวจสอบและยืนยันให้กลุ่มเกษตรกรสามารถใช้น้ำกกในการเกษตรได้ แต่ส่วนตัวยังมีความเป็นห่วงเรื่องการเกษตร และห่วงโซ่อาหารในลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง

“อยากจะเรียกร้องให้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยแผน และผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน พืชผลการเกษตร และสุขภาพของเกษตรกรในลุ่มน้ำกก สาย รวก และโขง ที่ใช้น้ำปนเปื้อนสารพิษในการเกษตร และออกมาตรการปรับค่า PH มีแผนการ ขั้นตอน วิธีการ งบประมาณและระยะเวลาส่งเสริมให้เกษตรกรปรับค่า PH ในแปลงเกษตรของเกษตรกรทั้งหมดในลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”
“กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ต้องจัดทำข้อมูลห่วงโซ่สินค้าเกษตรทุกชนิดตั้งแต่ปลูกไปจนถึงตลาดสินค้าในท้องถิ่น ประเทศ และต่างประเทศ และมีแผนเฝ้าระวังสารโลหะหนักตกค้าง, จัดทำแผนที่ความเสี่ยงแสดงพื้นที่เกษตรกรรมที่ใช้น้ำกก สาย รวก และโขงในการเกษตร โดยต้องมีจำนวนเกษตรกร พื้นที่เกษตร ชนิดพืช ผลไม้ และสัตว์ ที่ชัดเจน เป็นปัจจุบัน รวมไปถึงแผนการรับมือสถานการณ์ตรวจพบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในดิน ผลผลิตการเกษตร และปลา ที่ใช้น้ำกก น้ำสาย น้ำรวก และน้ำโขง”
ดร.สืบสกุล กล่าวด้วยว่า หากดูจากฐานข้อมูล จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เกษตรกรรมที่ใช้น้ำกก สาย และรวกในการเกษตร เนื้อที่ 119,225 ไร่ มีเกษตรกรใน 8 อำเภอจำนวนอย่างน้อย 8,077 ครอบครัว ใช้น้ำกก สาย และรวก ทำการเกษตร โดยปลูกข้าวเป็นพืชหลัก มีเนื้อที่อย่างน้อย 82,453 ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีเนื้อที่อย่างน้อย 13,162 ไร่
โดยปลายทางของผลผลิตการเกษตรคือตลาดในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย และต่างประเทศ ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการ จะให้มั่นใจอย่างไรว่า ประชากรนับล้านคนจะปลอดภัย และรัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงได้
ขณะที่ มูลนิธิสิทธิมนุษยไทใหญ่ ได้เผยแพร่ภาพดาวเทียม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ว่า ในพื้นที่เมืองยอน และทางตอนใต้ของเมืองสาด เขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ยังคงมีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ซึ่งห่างจากชายแดนไทยเพียง 25 กิโลเมตร ซึ่งมีลักษณะเดียวกับโครงการขุดแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นซึ่งพบว่าเป็นแร่เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม ที่ดำเนินการโดยนักลงทุนชาวจีน
“จึงกังวลใจว่า สารพิษตกค้างจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธจะปนเปื้อนน้ำไหลลงสู้แม่น้ำกก นั่นหมายถึงว่าประชาชนกว่าล้านคน ที่อาศัยอยู่บริเวณท้ายน้ำทั้งเมืองฝั่งชายแดน จะได้รับผลกระทบทางสุขภาพ”
