ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการพิสูจน์หลักฐานกลาง ในฐานะโฆษกสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิรุฬห์ ศุภสิงห์ศิริปรีชา ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้แถลงความคืบหน้าการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เพื่อยืนยันตัวตนของผู้เสียชีวิตจากเหตุอาคาร สตง. ถล่ม ก่อนส่งร่างคืนให้ครอบครัว เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้เก็บข้อมูล และ DNA ของญาติผู้สูญหายไว้แล้ว 97 ราย เพื่อใช้เปรียบเทียบกับร่างผู้เสียชีวิต
โดยปัจจุบันเจ้าหน้าที่ได้รับร่างผู้เสียชีวิตเข้าสู่ระบบเพื่อตรวจสอบแล้ว 41 ราย นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนมนุษย์อีก 96 ชิ้น เบื้องต้นสามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อยืนยันว่าผู้เสียชีวิตเป็นใครได้แล้ว 33 ราย แบ่งเป็นคนไทย 22 ราย , ชาวเมียนมา 10 ราย และชาวกัมพูชา 1 ราย โดยเเจ้งให้ครอบครัวมารับร่างผู้เสียชีวิตแล้ว ส่วนที่เหลือจะทยอยพิสูจน์เอกลักษณ์ต่อไป
พล.ต.ต.วาที ยังระบุว่า ในช่วงหลังศพที่พบ มีการเปลี่ยนสภาพเป็นชิ้นส่วนศพมากขึ้น เจ้าหน้าที่จึงต้องประกอบร่างให้ครบทุกชิ้นส่วนก่อนส่งคืนให้ญาติ ส่วนแรงงานต่างด้าว บางครอบครอบครัวไม่สามารถเดินทางมาได้ จึงทำให้บางศพยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่เจ้าหน้าที่ได้ประสานกับสถานทูตให้เก็บตัวอย่าง DNA จากญาติในประเทศนั้นๆ แล้ว
ขณะที่บางศพแม้ยืนยันตัวได้แล้ว แต่ญาติยังไม่มารับเนื่องจากเป็นชาวเมียนมา และบางศพญาติต้องการรอรับพร้อมศพอื่นที่ตอนนี้ยังหาร่างไม่เจอ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 เม.ย.) มีญาติผู้เสียชีวิตเดินทางมารับศพ จำนวน 2 ราย หนึ่งในนั้นคือ บุญเส่ง มวลสุข อายุ 73 ปี แม่ของ วิทยา สิทธิ์ศรี แรงงานไทยอายุ 36 ปี เธอบอกว่า ตัวเองอยู่ที่ ต.ศรีสะเกษ ส่วนลูกชายมาทำงานที่กรุงเทพฯ หลายปีแล้ว โดยเจอลูกครั้งล่าสุด คือช่วงปีใหม่ 2567
บุญเส่ง ยังเล่าว่า วิทยา เป็นลูกชายคนเล็ก เข้ามาทำงานที่อาคาร สตง. ได้ 1 เดือน โดยช่วงเกิดเหตุแรกๆ ลูกหลานไม่กล้าบอกว่าลูกชายติดอยู่ในซากตึก แต่พอรู้แล้วก็กินนอนไม่ได้ ลุ้นว่าจะเจอร่างลูกชายวันไหน กระทั่งวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเกิดของลูกชาย เจ้าหน้าที่ได้โทรมาแจ้งว่าเจอร่างลูกชายแล้ว แม้จะเสียใจแต่ตอนนี้ก็พอทำใจได้แล้ว และดีใจที่ได้เจอร่างลูกชาย โดยต่อจากนี้จะนำร่างลูกชายไปประกอบพิธีทางศาสนา และจะนำกระดูกกลับไปที่บ้านเกิด จ.ศรีสะเกษ
