








เข้าสู่วันที่ 7 แล้ว สำหรับปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุตึก สตง. ถล่ม หลังเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยยอดของผู้สูญหายตอนนี้ ยังคงอยู่ที่ 72 คน ในจำนวนนี้มีทั้งแรงงานไทย และแรงงานต่างด้าวที่ยังรอคอยการค้นพบอยู่ที่ไหนสักแห่งใต้ซากปรักหักพักของอาคาร 30 ชั้นแห่งนี้ ท่ามกลางความหวังของคนรอที่ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
โดยมีทีมเยียวยาจิตใจคอยดูแลและพูดคุยกับญาติผู้สูญหายเพื่อปลอบประโลม และช่วยให้พวกเขามีกำลังใจสู้ต่อไป แต่แล้วกำลังใจที่อยู่นอกเหนือจากทีมงานที่เตรียมไว้ก็ปรากฎ เมื่ออยู่ๆ มีพระพม่ารูปหนึ่ง เดินเข้ามาในโซนพื้นที่พักคอยของญาติผู้สูญหาย
จากการพูดคุยผ่านล่ามอาสา ทราบว่าพระรูปนี้ชื่อว่า 'Venerable GUNINDA' เป็นพระพม่าที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยวันนี้ Venerable GUNINDA มาหาซื้อยาเพื่อนำไปบริจาคให้กับชาวเมียนมาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา และอยากแวะมาดูสถานการณ์ที่จุดนี้ รวมถึงอยากมาให้กำลังใจกับชาวเมียนมาที่ยังรอเจอครอบครัวของพวกเขา
ระหว่างที่ Venerable GUNINDA อยู่ในพื้นที่โซนพักคอย เราพบว่ามีชาวเมียนมาหลายคนเข้ามาแสดงความเคารพด้วยการกราบอย่างนอบน้อม และมีการพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง 'พี่ดาว' ล่ามอาสาชาวเมียนมา บอกกับเราว่าชาวเมียนมาให้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า การมาของพระพม่ารูปนี้จึงเป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับพวกเขา ญาติผู้สูญหายชาวเมียนมาบางคนที่ยังไม่เจอคนที่เขารัก ก็หวังจะนำเงินมาทำบุญกับพระรูปนี้ เพราะคิดว่าคนที่เขารักอาจกลายเป็นร่างไร้ลมหายใจไปแล้ว แต่พระท่านไม่รับ เพราะไม่อยากถูกมองว่ามาเรียกรับเงินบริจาคและได้ขอให้ญาติผู้หายรายดังกล่าวเก็บเงินไว้เพื่อช่วยเหลือตัวเอง หรือทำบุญในรูปแบบอื่นแทน
ห่างไปไม่ไกลจากจุดที่ Venerable GUNINDA กำลังพูดคุยกับชาวเมียนมา เราสังเกตเห็นกลุ่มชายชาวเมียนนั่งเกาะกลุ่มกันอยู่ใต้ร่มไม้ ที่สะดุดตาที่สุดคือชายผิวเข้มคนหนึ่ง อายุราวๆ 30 ปี กำลังนั่งก้มหน้าเอามือเท้าคางด้วยท่าทางเคร่งเครียด พลางยกมือถือขึ้นมาดูเป็นระยะ ล่ามอาสาเมียนมาอีกคน บอกกับเราว่าชายคนนี้กำลังรอคอยที่จะพบร่างของน้องชายไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม โดยชายคนนี้เข้ามาทำงานเป็นคนงานก่อสร้างที่ตึกแห่งนี้กับน้องชาย วันเกิดเหตุน้องชายทำงานอยู่ชั้น 29 ส่วนตัวพี่ชายลงมาซื้อน้ำแข็ง ระหว่างที่เดินกลับไปหาน้องชาย จู่ๆ ตึกก็พังถล่มลงมา ทำให้ตัวพี่ชายไม่ได้เห็นหน้าน้องชายอีกเลย
โดยชายคนนี้เล่าให้ล่ามฟังว่า หลังจากพบร่างของน้องชาย เขาคิดว่าจะเดินทางกลับไปหาพ่อแม่ที่เมียนมา เพราะเขาหมดสิ้นกำลังใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยต่อแล้ว แต่แนวทางนี้ชาวเมียนมาด้วยกันก็บอกว่ากับเราว่า อยากให้ชายคนดังกล่าวคิดใหม่ เพราะหากกลับไปที่ประเทศเมียนมาชีวิตความเป็นอยู่อาจลำบากกว่าเดิม และไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างผลกระทบไว้มาก ประกอบกับสถานการณ์สู้รบในเมียนมาตอนนี้ ทำให้ผู้ชายชาวเมียนมาหลายคนถูกบังคับ หรือบางคนถึงกับถูกทางการฉุดตัวให้ไปเป็นทหาร แต่ก็เข้าใจว่าหากจะอยู่ไทยต่อก็คงหมดกำลังใจ แต่ถ้าจะกลับไปก็ไมรู้ว่าชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ เรายังได้พูดคุยกับเครือข่ายแรงงานชาวเมียนมาถึงความกังวลเรื่องเงินเยียวยา เนื่องจากมีข้อมูลว่าในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่สูญหาย มีบางคนเป็นแรงงานที่ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ทำให้ไม่มีเอกสารยืนยันตัวที่ชัดเจนจึงกังวลว่าแรงงานกลุ่มนี้อาจไม่ได้รับเงินเยียวยา อีกทั้งนายจ้างบางคนยังไม่มาแสดงตัวว่าแรงงานที่สูญหายเป็นแรงงานในสังกัด
เครือข่ายแรงงานกลุ่มนี้ ยังบอกกับเราว่า แรงงานชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทย ความจริงแล้วแรงงานกลุ่มนี้ก็ไม่ได้อยากเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แต่บางคนไม่มีเงินและความรู้เพียงพอที่จะเข้าทำงานอย่างถูกต้องตามฎหมาย ขณะเดียวกันสถานการณ์ความอดยากในเมียนมาก็ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องดิ้นรนเข้ามาขายแรงงานในประเทศไทย
แม้ทางการไทยจะเปิดให้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เพื่อให้แรงงานเหล่านี้เข้าสู่ระบบ แต่แรงงานชาวเมียนมาบอกกับเราว่าค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนกับภาครัฐค่อยข้างสูงสำหรับพวกเขา โดยค่าใช้จ่ายปกติอยู่ที่ 5,000 - 6,000 บาท แต่เนื่องจากพวกเขาต้องยื่นเรื่องผ่านนายหน้าจึงทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้นไปแตะหลักหมื่น ลำพังแค่ค่ากิน ค่าอยู่ ก็แทบไม่พอแล้ว ครั้นจะหันไปหยิบยืมเงินจากครอบครัวก็ทำไม่ได้ เพราะครอบครัวของแรงงานกลุ่มนี้ค่อนข้างยากจน
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็พยายามจะเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพียงแต่ต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างในการเก็บเงิน และแรงงานบางคนที่ทำงานในตึกนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการทำเอกสารขึ้นทะเบียน แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ทำให้แรงงานกลุ่มนี้กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายต่อไป
ก่อนจากกัน แรงงานชาวเมียนมา ย้ำกับเราว่าพวกเขารู้สึกขอบคุณคนไทยและทางการไทยที่ให้การช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และช่วยค้นหาผู้สูญหายอย่างเต็มที่อย่างเท่าเทียมกับคนไทย แม้พวกเขาจะเป็นแรงงานต่างด้าวก็ตาม ต่างจากรัฐบาลเมียนมาที่ละเลยการช่วยเหลือประชาชนของตัวเอง ที่กำลังทนทุกข์จากการสูญเสียในเหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา