‘รังสิมันต์ โรม’ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล ได้เดินทางมาเข้าพบ ‘พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ’ จเรตำรวจแห่งชาติ ที่ สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีของ ‘อุปกิต ปาจรียางกูร’ สมาชิกวุฒิสภา หรือ ‘ส.ว.ทรงเอ’ หลังพบมีคนบางกลุ่มพยายามแทรกแซงคดี ให้ ส.ว.อุปกิต พ้นผิดจากข้อหาฟอกเงินและข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงติดตามความคืบหน้าเรื่องการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดีนี้อย่างไม่เป็นธรรม
รังสิมันต์ เปิดเผยว่า คดีนี้มีหลายประเด็นที่ยังไม่กระจ่าง เช่น การดำเนินคดีกับอุปกิต หลัง ปปง. แจ้งข้อหาสมคบกันฟอกเงินไปแล้วแต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า รวมถึงความล่าช้าของอัยการสูงสุด ในการสั่งฟ้องอุปกิต ในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แม้อัยการสูงสุดจะมีนัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 26 ก.ค.นี้ แต่ส่วนตัวคิดว่าสั่งฟ้องได้เลย ไม่ต้องรอให้ถึงเส้นตาย ประเด็นความล่าช้าในการตรวจสอบเรื่อง การถอนหมายจับอุปกิตที่ส่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงหวังว่าข้อมูลที่เขานำมามอบให้จเรตำรวจฯ วันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและเอาผิดกับคนที่พยายามจะแทรกแซงคดีนี้ได้
ขณะที่ พล.ต.อ.วิสนุ ได้กล่าวขอบคุณรังสิมันต์ ที่เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดีถึงที่ทำงาน พร้อมพูดหยอกล้อกับรังสิมันต์ว่า เหมือนมาทวงการบ้านถึงที่ทำงานเลย ซึ่งตนก็พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติม และยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ขอบคุณที่มาทวงการบ้าน พร้อมเผยว่าตอนนี้ึดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว เชื่อว่าข้อมูลที่รังสิมันต์ นำมามอบให้วันนี้จะทำให้ภาพรวมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ย้ำว่าจเรตำรวจไม่ได้ทำงานชักช้า
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้ถามรังสิมันต์ เกี่ยวกับประเด็นที่ชูวิทย์ ออกมาแฉข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตร กอส. โดยพบว่ามีหนึ่งในตำรวจหญิง ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้ มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ งานการไม่ทำ เที่ยวแต่ผับว่า จริงๆ มีตำรวจหญิงหลายคนเลย แต่ข้อตั้งประเด็นในภาพรวมโดยไม่ระบุเพศว่า มีตำรวจที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้จำนวนไม่น้อย ที่มีพฤติกรรมร่ำรวยมากๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้กังวลว่าที่มาของคนเหล่านี้ มีการทำงานที่สุจริตมากน้อยแค่ไหน รวมถึงกังวลว่าอาจมีกลุ่มธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ส่งคนมาเข้าเรียนเผื่อสร้างเครือข่าย โดยตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรกอส. ย้อนหลังไปประมาณ 10 ปี ไล่ชื่อตั้งแต่รุ่นที่1 ถึงรุ่นล่าสุด และยังมีเบาะแสงว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกันในราคา 1-2 ล้านบาทด้วย นอกจากนี้นายรังสิมันต์ ยังอ้างว่ามีบางนามสกุล ที่พบว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ส.ว.อุปกิตด้วย แต่ขอเวลาตรวจสอบก่อน
รังสิมันต์ ยังย้อนคำพูดของ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ชี้แจงว่าการเลื่อนยศของ ร.ต.อ.หญิง อาทิติยา เบ็ญจะปัก รองสารวัตร กลุ่มงานวิชาการและงานสารบรรณ สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้กองแคท เป็นไปตามหลักเกณฑ์และถูกต้องตามระเบียบว่า ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ ‘กฎหมายมันเขียนให้เกิดตั๋ว’
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถาม พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นความคืบหน้าส่วยทางหลวงว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดย พล.ต.อ.วิสนุ เปิดเผยว่า ตอนนี้ตำรวจทางหลวงและตำรวจสอบสวนกลาง กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ และในส่วนของจเรตำรวจฯ จะดูแลในภาพรวมทั้วประเทศมีการกระจายกำลังลงพื้นที่ไปแล้ว โดยจะเน้นในส่วนของตำรวจภูธร คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 15 วัน ส่วนการลงโทษทางวินัยตำรวจทางหลวงสามารถเอาผิดได้เลย ไม่ต้องส่งเรื่องมาที่จเรตำรวจฯ เพื่อลดความซับซ้อน แต่จเรตำรวจฯ ก็จะทำงานแบบคู่ขนานกันไป
ส่วน ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมที่พบว่ามีหลักฐานเกี่ยวกับสวยทางหลวงค่อนข้างชัดเจน พล.ต.อ.วิสนุ บอกว่าตนและพล.ต.ท.ฎิษพจณ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบส่วยทางหลวง ชุดของสำนักงานจเรตำรวจ จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยตนเอง พร้อมมองว่าการแก้ปัญหาในภาพรวมต้องมีหน่วยราชการอื่นเข้ามาช่วยกันแก้ เช่น กระทรวงคมนาคม และในส่วนของตำรวจจะดูเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย
รังสิมันต์ เปิดเผยว่า คดีนี้มีหลายประเด็นที่ยังไม่กระจ่าง เช่น การดำเนินคดีกับอุปกิต หลัง ปปง. แจ้งข้อหาสมคบกันฟอกเงินไปแล้วแต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า รวมถึงความล่าช้าของอัยการสูงสุด ในการสั่งฟ้องอุปกิต ในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แม้อัยการสูงสุดจะมีนัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 26 ก.ค.นี้ แต่ส่วนตัวคิดว่าสั่งฟ้องได้เลย ไม่ต้องรอให้ถึงเส้นตาย ประเด็นความล่าช้าในการตรวจสอบเรื่อง การถอนหมายจับอุปกิตที่ส่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงหวังว่าข้อมูลที่เขานำมามอบให้จเรตำรวจฯ วันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและเอาผิดกับคนที่พยายามจะแทรกแซงคดีนี้ได้
ขณะที่ พล.ต.อ.วิสนุ ได้กล่าวขอบคุณรังสิมันต์ ที่เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดีถึงที่ทำงาน พร้อมพูดหยอกล้อกับรังสิมันต์ว่า เหมือนมาทวงการบ้านถึงที่ทำงานเลย ซึ่งตนก็พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติม และยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ขอบคุณที่มาทวงการบ้าน พร้อมเผยว่าตอนนี้ึดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว เชื่อว่าข้อมูลที่รังสิมันต์ นำมามอบให้วันนี้จะทำให้ภาพรวมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ย้ำว่าจเรตำรวจไม่ได้ทำงานชักช้า
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้ถามรังสิมันต์ เกี่ยวกับประเด็นที่ชูวิทย์ ออกมาแฉข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตร กอส. โดยพบว่ามีหนึ่งในตำรวจหญิง ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้ มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ งานการไม่ทำ เที่ยวแต่ผับว่า จริงๆ มีตำรวจหญิงหลายคนเลย แต่ข้อตั้งประเด็นในภาพรวมโดยไม่ระบุเพศว่า มีตำรวจที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้จำนวนไม่น้อย ที่มีพฤติกรรมร่ำรวยมากๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้กังวลว่าที่มาของคนเหล่านี้ มีการทำงานที่สุจริตมากน้อยแค่ไหน รวมถึงกังวลว่าอาจมีกลุ่มธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ส่งคนมาเข้าเรียนเผื่อสร้างเครือข่าย โดยตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรกอส. ย้อนหลังไปประมาณ 10 ปี ไล่ชื่อตั้งแต่รุ่นที่1 ถึงรุ่นล่าสุด และยังมีเบาะแสงว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกันในราคา 1-2 ล้านบาทด้วย นอกจากนี้นายรังสิมันต์ ยังอ้างว่ามีบางนามสกุล ที่พบว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ส.ว.อุปกิตด้วย แต่ขอเวลาตรวจสอบก่อน
รังสิมันต์ ยังย้อนคำพูดของ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ชี้แจงว่าการเลื่อนยศของ ร.ต.อ.หญิง อาทิติยา เบ็ญจะปัก รองสารวัตร กลุ่มงานวิชาการและงานสารบรรณ สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้กองแคท เป็นไปตามหลักเกณฑ์และถูกต้องตามระเบียบว่า ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ ‘กฎหมายมันเขียนให้เกิดตั๋ว’
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถาม พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นความคืบหน้าส่วยทางหลวงว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดย พล.ต.อ.วิสนุ เปิดเผยว่า ตอนนี้ตำรวจทางหลวงและตำรวจสอบสวนกลาง กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ และในส่วนของจเรตำรวจฯ จะดูแลในภาพรวมทั้วประเทศมีการกระจายกำลังลงพื้นที่ไปแล้ว โดยจะเน้นในส่วนของตำรวจภูธร คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 15 วัน ส่วนการลงโทษทางวินัยตำรวจทางหลวงสามารถเอาผิดได้เลย ไม่ต้องส่งเรื่องมาที่จเรตำรวจฯ เพื่อลดความซับซ้อน แต่จเรตำรวจฯ ก็จะทำงานแบบคู่ขนานกันไป
ส่วน ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมที่พบว่ามีหลักฐานเกี่ยวกับสวยทางหลวงค่อนข้างชัดเจน พล.ต.อ.วิสนุ บอกว่าตนและพล.ต.ท.ฎิษพจณ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบส่วยทางหลวง ชุดของสำนักงานจเรตำรวจ จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยตนเอง พร้อมมองว่าการแก้ปัญหาในภาพรวมต้องมีหน่วยราชการอื่นเข้ามาช่วยกันแก้ เช่น กระทรวงคมนาคม และในส่วนของตำรวจจะดูเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย
