Google เผยผลการศึกษา AI ช่วยคนทำงานเซฟเวลาได้ 122 ชั่วโมงต่อปี แต่ยิ่งฉลาดก็ยิ่งเปลืองน้ำ

7 พ.ค. 2568 - 09:23

  • ผลการศึกษาโดย Google ชี้ AI ช่วยให้คนประหยัดเวลาทำงานได้ 122 ชม.ต่อปี แต่ AI ยิ่งฉลาดก็ยิ่งใช้น้ำปริมาณมาก

  • ยักษ์ใหญ่ไอที Google, Microsoft และ Amazon ตั้งเป้าเป็น Water Positive ภายในปี 2030

ยักษ์ใหญ่ด้านไอทีอย่าง Google เปิดเผยรายงานผลการศึกษา AI Works ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในสหราชอาณาจักร พบว่าหากนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาปรับใช้จะช่วยให้พนักงานประหยัดเวลาในการทำงานได้มากถึง 122 ชั่วโมงต่อปี

รายงานดังกล่าวที่ Google จัดทำร่วมกับ Public First ยังระบุว่า การส่งเสริมให้พนักงานใช้ AI และจัดการฝึกอบรมเพียงไม่กี่ชั่วโมง สามารถเพิ่มอัตราการนำ AI ไปใช้งานจริงได้ถึง 2 เท่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยประเมินว่าสหราชอาณาจักรอาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 4 แสนล้านปอนด์ หากมีการฝึกอบรมทักษะ AI ให้กับแรงงานอย่างทั่วถึง

โครงการนำร่อง AI Works ที่ทดลองในเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็ก สถาบันการศึกษา และสหภาพแรงงาน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการลดภาระงานที่ไม่จำเป็น

เด็บบี้ ไวน์สตีน ประธาน Google ประจำภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษายังพบอุปสรรคสำคัญคือ พนักงานจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมาก และยังไม่เคยใช้ Generative AI ในการทำงาน ส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลว่าการใช้ AI เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับหน้าที่ แต่เมื่อพนักงานได้รับอนุญาตและผ่านการอบรมสั้นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ พวกเขามีแนวโน้มใช้ AI เพิ่มขึ้น และยังคงใช้งานต่อเนื่องแม้เวลาผ่านไป

หนึ่งในผลสำรวจที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป ก่อนการอบรมมีเพียง 17% ที่ใช้ AI รายสัปดาห์ และ 9% ใช้รายวัน แต่ 3 เดือนหลังการอบรม ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 56% และ 29% ตามลำดับ ซึ่งช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงและใช้งาน AI ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีและช่วยเปิดโอกาสให้กับคนทุกวัย

ทั้งนี้ Google ในฐานะผู้พัฒนา Gemini AI เชื่อมั่นว่าการสนับสนุนง่ายๆ เช่น การให้สิทธิ์และการฝึกอบรมพื้นฐาน เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวงกว้าง

sustainability-ai-helps-workers-save-122-hours-a-year-SPACEBAR-Photo01-3.jpg

ยิ่งฉลาด...ยิ่งสูบน้ำ

แม้ว่า AI จะมีประโยชน์มากมายทั้งช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่การใช้งาน AI ก็กำลังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความกดดันต่อการใช้ทรัพยากรน้ำทั่วโลก โดย AI ใช้นํ้าใน 3 วัตถุประสงค์หลักคือ ใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน เพื่อผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อนดาต้าเซ็นเตอร์ และการใช้นํ้าในห่วงโซ่อุปทานของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการพัฒนา AI

ข้อมูลจากศูนย์รักษาความปลอดภัยด้านนํ้า แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ในสหรัฐฯ ระบุว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันคาดว่ามีมากกว่า 11,000 แห่งทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และการเติบโตดังกล่าวมาพร้อมกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการใช้นํ้าจำนวนมหาศาล

มีการศึกษาพบว่าศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ Google ซึ่งให้บริการหลักอย่าง Gmail และ Google Drive ใช้นํ้าเฉลี่ยสูงถึง 550,000 แกลลอนต่อวัน (ประมาณ 2.1 ล้านลิตรต่อวัน) ขณะที่ศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กโดยทั่วไปใช้นํ้าน้อยกว่ามาก โดยเฉลี่ยประมาณ 18,000 แกลลอนต่อวัน  (ประมาณ 68,100 ลิตรต่อวัน) เมื่อเทียบกับการใช้นํ้าเฉลี่ยต่อหัวของชาวอเมริกันที่ 132 แกลลอนต่อวัน จะเห็นได้ว่าศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวใช้นํ้าเทียบเท่ากับการบริโภคของประชากรถึง 4,200 คน ทำให้ภาคส่วนนี้กลายเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมที่ใช้นํ้ามากที่สุดในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจที่น่าสนใจพบว่า ChatGPT มีการใช้น้ำ 500 มิลลิลิตร หรือครึ่งลิตร ต่อทุกๆ 20-50 Prompts ขึ้นอยู่กับว่าใช้โมเดลเอไอที่ไหน เมื่อไร และเป็นที่คาดว่าแชตบอตรุ่นใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง GPT-4 จะยิ่งใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก

นักวิจัยเตือนว่าหาก Water Footprint ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเจน AI ยังสูงขึ้นต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข สถานการณ์นี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้สังคมตั้งคำถามเรื่องการใช้งาน  AI  อย่างยั่งยืนในอนาคต

แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การเติบโตของ AI ส่งผลให้ความต้องการใช้นํ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2027 การใช้นํ้าของ AI ทั่วโลกจะสูงถึง 6,600 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้นํ้าตลอดทั้งปีของประเทศเดนมาร์ก สถานการณ์ดังกล่าวจึงถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อทรัพยากรนํ้าจืดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนนํ้าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ

ปัจจุบันบริษัทเทคโนโลยี เช่น Google, Microsoft และ Amazon เริ่มตระหนักถึงปัญหานี้ และตั้งเป้าหมายจะเป็น Water Positive ภายในปี 2030 โดยการเติมน้ำกลับคืนสู่ระบบมากกว่าที่ใช้จริงผ่านโครงการรีไซเคิลน้ำ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้น้ำ

หากมองหลายมุมจะเห็นว่า AI มีทั้งแง่บวกและลบ ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง “เทคโนโลยี” กับ “ธรรมชาติ” ถ้าเราออกแบบให้มันไปด้วยกัน และใช้งานแบบตะหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

สุดท้ายหากจะให้ยั่งยืน ครั้งต่อไปเมื่อเราพิมพ์ Prompt คำสั่งถาม AI ทุกคำถามอาจต้องคิดสักนิดว่า “คำถามนี้มันคุ้มค่ากับน้ำที่ใช้ไปหรือไม่?”

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์