“น้ำท่วมโลก” อาจไม่ใช่แค่พล็อตเรื่องในหนัง “วันสิ้นโลก” อีกต่อไป ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ออกมาเตือนว่าแม้มนุษย์จะควบคุมโลกร้อนไม่ให้เกิน 1.5°C ตามข้อตกลงปารีส ก็ยังไม่พอที่จะหยุดระดับน้ำทะเลสูง เหตุจากการละลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกที่กำลังเกิดขึ้นเร็วเกินคาด โดยในรายงานวิจัยล่าสุดจากทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติชี้ว่า Turning Point หรือ “จุดเปลี่ยน” อาจมาถึงเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ และมนุษยชาติจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการอพยพครั้งใหญ่ รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก
น้ำแข็งละลายเร็วเกินควบคุม น้ำทะเลสูงขึ้นต่อเนื่อง
รายงานวิจัยฉบับใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Earth & Environment โดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ระบุว่า โลกได้สูญเสียแผ่นน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาในอัตราเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าภายในเวลาเพียง 30 ปี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำแข็งละลายเฉลี่ยปีละกว่า 370,000 ล้านตัน ซึ่งหากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจนำไปสู่การเพิ่มของระดับน้ำทะเลในระดับที่สร้างแรงกระแทกต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
หลักฐานทางธรณีวิทยาย้อนหลังชี้ว่า ช่วงเวลาที่โลกมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับปัจจุบัน เมื่อราว 3 ล้านปีก่อน ระดับน้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบันถึง 10-20 เมตร นั่นสะท้อนว่าแม้จะควบคุมโลกร้อนได้ในอนาคต การเพิ่มของระดับน้ำทะเลก็จะยังดำเนินต่อไปอีกหลายร้อยถึงพันปี

1.5°C เส้นแบ่งความปลอดภัยที่ “ไม่ปลอดภัย” อีกต่อไป
นับตั้งแต่ข้อตกลงปารีสปี 2015 โลกได้ใช้เป้าหมาย “จำกัดอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5°C” เป็นเข็มทิศหลักในการควบคุมภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เริ่มออกมาเตือนว่า เป้าหมายดังกล่าวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป โดยข้อมูลล่าสุดจากงานวิจัยนี้ระบุว่า แม้อุณหภูมิจะควบคุมอยู่ที่ 1.5°C ก็ยังมีแนวโน้มที่แผ่นน้ำแข็งจะละลายอย่างรวดเร็วและทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในอัตราที่ “ควบคุมไม่ได้”
“การควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 1.5°C ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่แม้ในกรณีที่เราทำได้ ระดับน้ำทะเลก็จะยังเพิ่มสูงขึ้นในแบบที่ปรับตัวได้ยากมาก”
— ศาสตราจารย์ คริส สโตกส์ จากมหาวิทยาลัยเดอรัม หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัย กล่าว
ปัจจุบันโลกได้เพิ่มความร้อนเฉลี่ยไปแล้ว ราว 1.2°C และเส้นทางที่เราเป็นอยู่ชี้ว่าอุณหภูมิโลกอาจพุ่งถึง 2.5-2.9°C ภายในปี 2100 ซึ่งจะยิ่งเร่งการละลายของแผ่นน้ำแข็งในอัตราที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์
เกณฑ์อุณหภูมิโลกปลอดภัย ลดลงเหลือเพียง 1.0°C
งานวิจัยล่าสุดเสนอว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพของแผ่นน้ำแข็ง อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกควรไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.0°C จากยุคก่อนอุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นเป้าหมายที่ “แทบจะเป็นไปไม่ได้” ภายใต้บริบทของการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลในระดับปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ หรือจีน
ประชากรโลก 230 ล้านคน เสี่ยงอพยพเพราะน้ำท่วม
รายงานระบุว่า ประชากรโลกกว่า 230 ล้านคนกำลังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตร ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงสุดหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นในช่วงศตวรรษนี้ และหากไม่มีมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง (กว่านี้) นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 1 เมตร (ประมาณ 40 นิ้ว) ภายในปี 2100 และอาจนำไปสู่ “การอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่”
ประเทศเปราะบางเสี่ยงหนัก ขาดระบบรองรับการอพยพ
ประเทศหมู่เกาะเล็กและประเทศกำลังพัฒนา เช่น บังกลาเทศ มัลดีฟส์ และฟิจิ จะเป็นแนวหน้าในการเผชิญกับผลกระทบโดยตรงจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น ในขณะที่ประเทศร่ำรวยอาจสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต้านน้ำทะเลได้ แต่ในระดับโลกกลับยังไม่มีนโยบายหรือกลไกรองรับการอพยพของประชากรที่ต้องละทิ้งถิ่นฐานเพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

“น้ำทะเลสูง” และ “การอพยพจากชายฝั่ง” เกี่ยวข้องกับ SDGs อย่างไร?
วิกฤตน้ำทะเลสูงคือสัญญาณเตือนที่ท้าทายอนาคตการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะในขณะที่โลกกำลังเร่งมือสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายในปี 2030 แต่ปรากฏการณ์น้ำทะเลสูงกลับสร้างความปั่นป่วนต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และส่งผลต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แทบทุกข้อ โดยเฉพาะ SDG 13 คือการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กลายเป็นหัวใจของวิกฤตครั้งนี้ ขณะที่เป้าหมายอื่นๆ อีกหลายข้อกำลังถูกสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ
ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งหลายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำใกล้ทะเล นี่คือความท้าทายโดยตรงต่อ SDG 11 ที่มุ่งสร้างเมืองและชุมชนที่ปลอดภัยและยั่งยืน เมืองเหล่านี้ต้องเร่งวางผังเมืองใหม่ ปรับโครงสร้างพื้นฐาน และออกแบบระบบอพยพอย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกัน ประชากรเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มคนจนในประเทศกำลังพัฒนา จะได้รับผลกระทบก่อนและรุนแรงที่สุด วิกฤตนี้จึงเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนกับ SDG 1 ขจัดความยากจน และ SDG 10 ลดความเหลื่อมล้ำ หากไม่มีนโยบายรองรับอย่างเป็นธรรม อัตราการเหลื่อมล้ำจะเพิ่มขึ้น และความไม่มั่นคงจะทวีความรุนแรง
นอกจากนี้ การบุกรุกของน้ำเค็มอาจทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งน้ำจืด ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงน้ำสะอาด ซึ่งเกี่ยวพันกับ SDG 2 ขจัดความหิวโหย และ SDG 6 น้ำสะอาดและสุขาภิบาลโดยตรง ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศทะเลจะส่งผลต่อแหล่งประมง สัตว์ทะเล และความหลากหลายทางชีวภาพในมหาสมุทร ซึ่งเกี่ยวข้องกับ SDG 14 อย่างชัดเจน
ในระดับที่ลึกกว่านั้น การอพยพครั้งใหญ่จากชายฝั่งอาจนำไปสู่ข้อขัดแย้งทางทรัพยากร การแย่งที่อยู่อาศัย และความตึงเครียดทางสังคม ซึ่งจะกลายเป็นบททดสอบสำหรับ SDG 16 ที่เน้นสันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง
ดังนั้น วิกฤตน้ำทะเลที่กำลังเกิดขึ้นจึงเป็นภาพสะท้อนว่า SDGs ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และความล้มเหลวในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลสะเทือนแบบโดมิโนต่อเป้าหมายอื่นๆ แทบทุกด้าน ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของชุมชน จึงไม่ใช่แค่เป้าหมายที่พึงประสงค์ แต่คือ “ทางรอดเดียว” ของการพัฒนาที่ยั่งยืนในโลกยุคใหม่
“เราอาจไม่สามารถหยุดการเพิ่มของระดับน้ำทะเลได้ทันที แต่เราสามารถชะลอมัน และเตรียมรับมือได้ หากเราเริ่มลงมืออย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนี้”
— ศาสตราจารย์ คริส สโตกส์ จากมหาวิทยาลัยเดอรัม หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัย กล่าว
สิ่งที่ยังทำได้คือการประวิงเวลาและเตรียมรับมือ
แม้จะไม่สามารถหยุดยั้งการละลายของแผ่นน้ำแข็งได้ทันที แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็เปรยว่าการ “ชะลอ” อัตราการเพิ่มของน้ำทะเลยังเป็นไปได้ หากมนุษยชาติร่วมมือกันลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล เพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน เช่น ป่าชายเลน และสนับสนุนเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน โดยต้องทำควบคู่ไปกับการวางนโยบายระยะยาวที่บูรณาการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความเป็นธรรมทางสังคม การวางผังเมืองใหม่ ระบบคมนาคมที่ยืดหยุ่น และกลไกรองรับการอพยพคือเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ...เพราะทุกองศามีความหมายและมีราคาที่ต้องจ่าย