Stop Food Waste Day อย่าให้คำสุดท้ายที่เหลือในจานเป็นสัญญาณหายนะโลก

30 เม.ย. 2568 - 03:58

  • ถ้าคำสุดท้ายที่เหลือไว้บนจานอาหาร คือสัญญาณของวิกฤตโลก เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม?

  • เริ่มเปลี่ยนโลกจากจานข้าวตรงหน้า เพราะขยะอาหารมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 8-10% ของโลก มากกว่าภาคการบินทั้งโลกถึง 4 เท่า

  • 30 เมษายน “วันหยุดขยะอาหารโลก” (Stop Food Waste Day) ชวนทุกคนเห็นคุณค่าอาหาร พร้อมตระหนักรู้ถึงภัยที่มาจากอาหารเหลือทิ้ง

sustainability-stop-food-waste-day-if-the-world-had-no-food-waste-SPACEBAR-Hero.jpg

เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าอาหารไม่ถูกทิ้ง โลกก็ไม่ถูกทำร้าย!!

ย้อนภาพกลับไปที่บ้าน ทุกครั้งที่เปิดตู้เย็นแล้วเจอกับผักเหี่ยวๆ หรือกล่องอาหารเหลือจากมื้อก่อน หลายคนอาจจะพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า “เอาไว้ก่อน เดี๋ยวกิน หรือเดี๋ยวค่อยตัดใจทิ้ง” จนในที่สุดสิ่งที่ควรเป็นมื้อถัดไปก็กลับกลายเป็นของเสียที่ถูกเทลง “ถังขยะ” ซ้ำร้ายอาจไม่ได้แยกขยะอีกต่างหาก…มันก็แค่ทิ้งไปง่ายๆ จบ

ทว่า ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ อาหารที่เราทิ้งเหล่านี้ ไม่ได้จบแค่ในถังขยะ แต่มันกลายเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมในระดับโลก

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ทิ้งอาหารมากที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยทิ้งอาหารมากถึง 86 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 79 กิโลกรัม สถิตินี้อาจฟังดูน่าตกใจ แต่ยิ่งน่าตกใจกว่าเมื่อเรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ยัง “กินได้” เพียงแค่ไม่สวย ตกเกรด หรือถูกลืมไว้จนหมดอายุ

วันที่ 30 เมษายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันหยุดขยะอาหารโลก” หรือ Stop Food Waste Day โดยมีจุดเริ่มต้นจากองค์กร Compass Group USA ในปี 2017 เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักว่า “ขยะอาหาร” ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กในครัว แต่มันคือเรื่องใหญ่ของโลกทั้งใบ

sustainability-stop-food-waste-day-if-the-world-had-no-food-waste-SPACEBAR-Photo01.jpg
Photo: โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยทิ้งอาหารมากถึง 86 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 79 กิโลกรัม

อาหารเหลือไม่ใช่ขยะ แต่คือทรัพยากรที่เราทิ้งไปโดยสมัครใจ

อาหารที่ถูกทิ้งส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากการเน่าเสียหรือกินไม่ได้จริงๆ แต่เกิดจากเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น รสชาติไม่ถูกปาก ปริมาณมากเกินไป ไม่สวยงามตามมาตรฐาน หรือหมดอายุตามฉลาก ทั้งที่ยังปลอดภัยอยู่

แม้กระทั่งเศษเปลือก เศษวัตถุดิบที่ยังสามารถนำไปใช้ได้ก็ถูกโยนทิ้ง เพราะขาดการวางแผน หรือไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ อาหารเหล่านี้เมื่อถูกทิ้ง มักจบลงที่หลุมฝังกลบ ซึ่งเป็นวิธีจัดการขยะอินทรีย์ที่ง่ายที่สุด แต่เต็มไปด้วยผลกระทบ เพราะในสภาพแวดล้อมที่ไร้ออกซิเจน การย่อยสลายจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมทั้งปล่อย “ก๊าซมีเทน” หรือ CH4 ออกมาในปริมาณมหาศาล ซึ่งก๊าซมีเทนเป็นหนึ่งใน “ก๊าซเรือนกระจก”ที่ทรงพลังมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า

ขยะอาหารเพียงอย่างเดียวมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 8-10% ของโลก มากกว่าภาคการบินทั้งโลกถึง 4 เท่า และหากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซของ “ขยะอาหาร” เป็นประเทศ มันจะกลายเป็น “ประเทศขยะเปียก” ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น

sustainability-stop-food-waste-day-if-the-world-had-no-food-waste-SPACEBAR-Photo2.jpg
Photo: มีประชากรกว่า 282 ล้านคนใน 59 ประเทศ ที่เผชิญกับภาวะอดอยาก และกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่มีอาหารพอสำหรับหนึ่งวัน

ในขณะที่บางคนอิ่มเกินไป อีกหลายร้อยล้านคนกำลังหิวโหย

ใช่แล้ว ขณะที่เราทิ้งอาหารเพียงเพราะไม่อร่อยหรือกินไม่หมด ทั่วโลกยังมีประชากรกว่า 282 ล้านคนใน 59 ประเทศ ที่เผชิญกับภาวะอดอยาก และกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก ที่ยังไม่มีอาหารพอสำหรับหนึ่งวัน ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณอาหารไม่เพียงพอ แต่เป็นปัญหาของการกระจายอาหารและพฤติกรรมการบริโภคที่ขาดความยั่งยืน

หากเราสามารถลด Food Waste ได้ อาหารที่เคยลงถังขยะอาจกลายเป็นมื้ออาหารที่ช่วยชีวิตใครบางคนไว้ได้จริงๆ

ถ้าไม่มี Food Waste โลกจะดีขึ้นแค่ไหน?

หากจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากขยะอาหาร จะเห็นว่าโลกทั้งใบสามารถเปลี่ยนแปลงในระดับระบบได้ ไม่ใช่แค่ในครัวหรือครอบครัว แต่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในภาพรวม อาทิ

อาหารเพียงพอสำหรับทุกคน 
เมื่อไม่มีอาหารที่ถูกทิ้งเปล่า โลกจะสามารถเลี้ยงดูผู้คนได้อย่างทั่วถึง ลดความหิวโหย และความเหลื่อมล้ำทางอาหารลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 
ขยะอาหารเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนขนาดใหญ่ ถ้าเราจัดการขยะอาหารได้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกจะลดลงทันทีถึงเกือบ 10%

ใช้ทรัพยากรอย่างพอดี 
ปัจจุบัน 70% ของน้ำจืดที่มนุษย์ใช้ทั่วโลก ถูกใช้เพื่อการเกษตร เมื่อผลิตอาหารเกินแล้วถูกทิ้ง ก็เท่ากับเรากำลังใช้น้ำ ดิน พลังงาน และแรงงานอย่างสูญเปล่า

ลดต้นทุนในการจัดการขยะ 
ค่ากำจัดขยะอาหารในแต่ละปีทั่วโลกสูงถึงหมื่นล้านดอลลาร์ หากลดปริมาณขยะอาหารได้ เงินจำนวนนี้สามารถนำไปพัฒนาโรงเรียน โรงพยาบาล หรือโครงการช่วยเหลือต่างๆ ได้

สร้างวัฒนธรรมการบริโภคที่ใส่ใจมากขึ้น 
เมื่อเราตระหนักว่าอาหารทุกคำมีคุณค่า พฤติกรรมการกินและการซื้อของเราจะเปลี่ยนไปอย่างยั่งยืน “กินอย่างรู้คุณค่า” จะไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่จะกลายเป็นพื้นฐานของวิถีชีวิตใหม่

เริ่มเปลี่ยนโลกได้จากจานข้าวตรงหน้า

ขยะอาหารไม่ใช่แค่เรื่องของวัตถุดิบที่เหลือ แต่คือผลจากการขาดการวางแผน ตั้งแต่การซื้อ การเก็บ การปรุง และการบริโภค

การเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ สามารถช่วยลด Food Waste ได้อย่างมาก เช่น

  1. วางแผนก่อนซื้อ 
เขียนลิสต์ของที่จะซื้อ หมั่นตรวจของที่มีอยู่ในบ้าน ใช้ของเก่าให้หมดก่อน ของใหม่ค่อยซื้อทีหลัง
  2. จัดการของเหลืออย่างมีระบบ 
แช่แข็งอาหารที่เหลือ แบ่งเก็บเป็นส่วนๆ ติดป้ายระบุวันหมดอายุไว้ชัดเจน เพื่อลดโอกาสลืม
  3. สร้างสรรค์เมนูจากของเหลือ 
เปลี่ยนเศษผัก เศษเนื้อในตู้เย็นให้เป็นเมนูใหม่ เช่น ซุป ข้าวผัด หรือสตูว์
  4. กินให้พอดีกับวัยและความต้องการของร่างกาย 
รู้ว่าตัวเองควรกินเท่าไหร่ ช่วยลดการซื้อเกินและลดขยะจากจานอาหาร
sustainability-stop-food-waste-day-if-the-world-had-no-food-waste-SPACEBAR-PhotoSQ01.jpg

ทุกคำที่กินหมด คือคะแนนที่ให้โลก

ในทุกๆ ปี โลกผลิตอาหารมากกว่าความต้องการถึง 1 ใน 3  ซึ่งหมายความว่าเรากำลังทิ้งอาหารที่มีมูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับการโยนแอปเปิ้ลทิ้งถึง 3.7 ล้านล้านลูกในแต่ละปี

#StopFoodWasteDay จึงไม่ควรเป็นเพียงแค่แฮชแท็กเก๋ๆ หรือวันรณรงค์ประจำปี แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจริงจัง เพราะทุกคำที่เรากินให้หมด ไม่เพียงช่วยลดขยะอาหาร แต่ยังเป็นการเลือกอยู่บนโลกใบนี้อย่างรับผิดชอบ และยั่งยืนมากขึ้น

โลกแบบที่ไม่มี Food Waste อาจยังไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่เราเริ่มสร้างมันได้ทันที ด้วยคำถามง่ายๆ ในมื้อหน้าว่า...“เรากินหมดจานหรือยัง?”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์