18 ชั่วโมงกับการปฎิบัติการช่วยเหลือ เด็กหญิง สัญชาติเมียนมาร์ อายุ 1 ขวบ 7 เดือน ที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างเล่นกองดินแล้วพลัดตกท่อบ่อบาดาล ที่มีขนาดกว้าง 1 ฟุต และมีความลึกประมาณ 13-15 เมตร กลางไร่มันสำปะหลัง ในพื้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก
ปฎิบัติการกู้ชีวิตเด็กหญิงรายนี้เริ่มขึ้น เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 6 ก.พ. หลัง ตำรวจ สภ.พบพระ ได้รับแจ้งเหตุว่ามีเด็กหญิง อายุ 1 ขวบ 7 เดือน พลัดตกท่อบ่อบาดาล ในพื้นที่ ม. 13 บ้านร่มเกล้าเจริญสุข ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก โดยหลังรับแจ้งเหตุหน่วยดับเพลิงเทศบาลนครแม่สอด พร้อมหน่วยกู้ชีพสมาคมพายัพ และ ปภ.จังหวัดตาก สาขาแม่สอด พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังเร่งเข้าไปช่วยเหลือ จนกระทั่งสามารถนำตัวเด็กออกมาจากท่อได้อย่างปลอดภัยในช่วงเวลาประมาณ 10.40 น. ที่ผ่านมา และได้นำตัวส่งโรงพยาบาลพบพระ เพื่อสังเกตอาการต่อไป
ทีมข่าว SPACEBAR ได้พูดคุยเพิ่มเติมกับ ‘หัวหน้าก้อย กิตติศักดิ์ บุญจันทร์’ หัวหน้าป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมปฎิบัติการช่วยเหลือชีวิตเด็กหญิงรายนี้ เปิดเผยว่า อุปสรรคสำคัญของภารกิจครั้งนี้ คือ เป็นครั้งแรกที่เคยเจอเหตุการณ์คนตกท่อบาดาล และเป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาต่อสู้ยาวนานที่สุดเท่าที่ทีมงานเคยสู้กันมา เพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมาใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงก็เสร็จเเล้ว แต่ปฎิบัติการครั้งนี้ต้องใช้เวลา กว่า 17 ชม. อีกทั้งยังมีอุปสรรคเรื่องกำลังพล และด้วยลักษณะพื้นที่ที่ห่างไกล ไม่ค่อยมีสัญญาณ จะส่งภาพหรือข้อความเพื่อประสานงานกับทีมงานที่อยู่ข้างนอก ต้องเดินออกจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร ถึงจะมีสัญญาณส่งภาพมาได้
ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้แต่ หัวหน้าก้อย บอกว่า ทุกคนพยายามใช้ความรู้และอุปกรณ์ที่มี มาช่วยกันออกแบบ วางแผนการช่วยเหลือเด็ก ให้ได้รับความปลอดภัยมากที่สุด เพื่อแข่งกับเวลา โดยมีทั้งทีมกู้ภัย ทีมแพทย์ และผู้เชียวชาญเรื่องการขุดบ่อบาดาล ซึ่งทีมงานประเมินแล้วว่าหากใช้คนขุดหลุมเพื่อไปช่วยเด็กจะใช้เวลานาน จึงต้องใช้รถแบคโฮ ตักดินให้อยู่ในระดับความลึกใกล้เคียงกับจุดที่เด็กอยู่ เพื่อทำเป็นโพรงนำตัวเด็กออกมา ระหว่างนั้นจะมีทีมแพทย์ ค่อยดูแลเรื่องท่อออกซิเจน ที่หย่อนลงไปในท่อที่น้องติดอยู่ และในทุกๆ 1 ชั่วโมง ทีมแพทย์จะหย่อนอุปกรณ์ฟังเสียงสัญญาณชีพลงไปในท่อ ควบคู่ไปกับการส่องกล้องลงไปในท่อเพื่อสังเกตท่าทีของน้อง ซึ่งบางครั้งก็จะได้ยินเสียงน้องกรนตอนหลับ
แต่พอเวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากรถแบคโฮเริ่มตักดินไปแล้ว มีบางช่วงที่รถแบคโฮขุดไปโดนท่อทำให้น้องตกใจกลัว และเริ่มร้องไห้ออกมา ทำให้ตอนแรกที่แอบกลัวว่าน้องอาจจะเสียชีวิต แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ จึงทำให้มั่นใจว่าน้องยังปลอดภัย และยิ่งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่เร่งนำตัวน้องออกมา จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.40 น. เจ้าหน้าที่จึงสามารถนำตัวน้องออกมาจากท่อได้อย่างปลอดภัย โดยพบว่าที่แขนและขาของน้องมีรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวหน้าก้อย อยากฝากไปถึง พ่อแม่-ผู้ปกครอง ให้ระวังเรื่องการดูแลเด็กเล็กอย่างใกล้ชิด อย่าประมาท เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุสลดขึ้นได้ เช่น อุบัติเหตุจากการตกน้ำ ตกท่อ หรือถูกรถชน ดังนั้นจึงอยากให้ดูแลกันอย่างทั่วถึงและรัดกุม ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปได้
ปฎิบัติการกู้ชีวิตเด็กหญิงรายนี้เริ่มขึ้น เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 6 ก.พ. หลัง ตำรวจ สภ.พบพระ ได้รับแจ้งเหตุว่ามีเด็กหญิง อายุ 1 ขวบ 7 เดือน พลัดตกท่อบ่อบาดาล ในพื้นที่ ม. 13 บ้านร่มเกล้าเจริญสุข ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก โดยหลังรับแจ้งเหตุหน่วยดับเพลิงเทศบาลนครแม่สอด พร้อมหน่วยกู้ชีพสมาคมพายัพ และ ปภ.จังหวัดตาก สาขาแม่สอด พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังเร่งเข้าไปช่วยเหลือ จนกระทั่งสามารถนำตัวเด็กออกมาจากท่อได้อย่างปลอดภัยในช่วงเวลาประมาณ 10.40 น. ที่ผ่านมา และได้นำตัวส่งโรงพยาบาลพบพระ เพื่อสังเกตอาการต่อไป
ทีมข่าว SPACEBAR ได้พูดคุยเพิ่มเติมกับ ‘หัวหน้าก้อย กิตติศักดิ์ บุญจันทร์’ หัวหน้าป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมปฎิบัติการช่วยเหลือชีวิตเด็กหญิงรายนี้ เปิดเผยว่า อุปสรรคสำคัญของภารกิจครั้งนี้ คือ เป็นครั้งแรกที่เคยเจอเหตุการณ์คนตกท่อบาดาล และเป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาต่อสู้ยาวนานที่สุดเท่าที่ทีมงานเคยสู้กันมา เพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมาใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงก็เสร็จเเล้ว แต่ปฎิบัติการครั้งนี้ต้องใช้เวลา กว่า 17 ชม. อีกทั้งยังมีอุปสรรคเรื่องกำลังพล และด้วยลักษณะพื้นที่ที่ห่างไกล ไม่ค่อยมีสัญญาณ จะส่งภาพหรือข้อความเพื่อประสานงานกับทีมงานที่อยู่ข้างนอก ต้องเดินออกจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร ถึงจะมีสัญญาณส่งภาพมาได้
ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้แต่ หัวหน้าก้อย บอกว่า ทุกคนพยายามใช้ความรู้และอุปกรณ์ที่มี มาช่วยกันออกแบบ วางแผนการช่วยเหลือเด็ก ให้ได้รับความปลอดภัยมากที่สุด เพื่อแข่งกับเวลา โดยมีทั้งทีมกู้ภัย ทีมแพทย์ และผู้เชียวชาญเรื่องการขุดบ่อบาดาล ซึ่งทีมงานประเมินแล้วว่าหากใช้คนขุดหลุมเพื่อไปช่วยเด็กจะใช้เวลานาน จึงต้องใช้รถแบคโฮ ตักดินให้อยู่ในระดับความลึกใกล้เคียงกับจุดที่เด็กอยู่ เพื่อทำเป็นโพรงนำตัวเด็กออกมา ระหว่างนั้นจะมีทีมแพทย์ ค่อยดูแลเรื่องท่อออกซิเจน ที่หย่อนลงไปในท่อที่น้องติดอยู่ และในทุกๆ 1 ชั่วโมง ทีมแพทย์จะหย่อนอุปกรณ์ฟังเสียงสัญญาณชีพลงไปในท่อ ควบคู่ไปกับการส่องกล้องลงไปในท่อเพื่อสังเกตท่าทีของน้อง ซึ่งบางครั้งก็จะได้ยินเสียงน้องกรนตอนหลับ
แต่พอเวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากรถแบคโฮเริ่มตักดินไปแล้ว มีบางช่วงที่รถแบคโฮขุดไปโดนท่อทำให้น้องตกใจกลัว และเริ่มร้องไห้ออกมา ทำให้ตอนแรกที่แอบกลัวว่าน้องอาจจะเสียชีวิต แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ จึงทำให้มั่นใจว่าน้องยังปลอดภัย และยิ่งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่เร่งนำตัวน้องออกมา จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.40 น. เจ้าหน้าที่จึงสามารถนำตัวน้องออกมาจากท่อได้อย่างปลอดภัย โดยพบว่าที่แขนและขาของน้องมีรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หัวหน้าก้อย อยากฝากไปถึง พ่อแม่-ผู้ปกครอง ให้ระวังเรื่องการดูแลเด็กเล็กอย่างใกล้ชิด อย่าประมาท เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุสลดขึ้นได้ เช่น อุบัติเหตุจากการตกน้ำ ตกท่อ หรือถูกรถชน ดังนั้นจึงอยากให้ดูแลกันอย่างทั่วถึงและรัดกุม ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปได้
