ต้องบอกว่ากำลังเข้มข้นเลยสำหรับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ตอนนี้เป็นทาง ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังได้เปรียบทางด้าน ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล เพราะพวกเขาก้าวขึ้นไปยืนในตำแหน่งจ่าฝูงเรียบร้อยแล้ว โดยนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 คะแนน และแข่งน้อยกว่า 1 นัด ทำให้ถ้าชนะนัดตกค้างอาจจะหนีห่าง 4 แต้มเลยทีเดียว แล้วที่สำคัญคือเจอกันไปแล้วเรียบร้อย เข้าสู่เส้นทางลุ้นแชมป์แบบสบายใจสบายตัวสุดๆ
ซึ่งปีนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา นอกจากจะลุ้นแชมป์ลีกแล้ว พวกเขายังมีลุ้นคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ด้วย เพราะยังเหลือ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศที่รอเจอกับ เรอัล มาดริด ในวันที่ 10 พฤษภาคม และบอลถ้วยในประเทศอย่าง เอฟเอ คัพ ที่เตรียมทำศึก ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้’ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกเดือนนิดๆ ในวันที่ 3 มิถุนายน แถมนี่ยังเป็นดาร์บี้แมตช์แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ครั้งแรกในฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกด้วย
วันนี้ SPACEBAR เลยจะขอรวม ดาร์บี้ แมตช์ นัดชิงชนะเลิศที่เคยเกิดขึ้นใน เอฟเอ คัพ มาฝากทุกคนกันหน่อย ซึ่งเราจะขอยกเฉพาะดาร์บี้ แมตช์ใหญ่ๆ มา เพราะทางฝั่งลอนดอน ดาร์บี้ จะมีทีมค่อนข้างเยอะ ส่วนจะมีคู่ไหนบ้าง ติดตามไปพร้อมกันได้เลย
ซึ่งปีนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา นอกจากจะลุ้นแชมป์ลีกแล้ว พวกเขายังมีลุ้นคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ด้วย เพราะยังเหลือ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศที่รอเจอกับ เรอัล มาดริด ในวันที่ 10 พฤษภาคม และบอลถ้วยในประเทศอย่าง เอฟเอ คัพ ที่เตรียมทำศึก ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้’ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกเดือนนิดๆ ในวันที่ 3 มิถุนายน แถมนี่ยังเป็นดาร์บี้แมตช์แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ครั้งแรกในฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกด้วย
วันนี้ SPACEBAR เลยจะขอรวม ดาร์บี้ แมตช์ นัดชิงชนะเลิศที่เคยเกิดขึ้นใน เอฟเอ คัพ มาฝากทุกคนกันหน่อย ซึ่งเราจะขอยกเฉพาะดาร์บี้ แมตช์ใหญ่ๆ มา เพราะทางฝั่งลอนดอน ดาร์บี้ จะมีทีมค่อนข้างเยอะ ส่วนจะมีคู่ไหนบ้าง ติดตามไปพร้อมกันได้เลย
1966-67: ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส 2-1 เชลซี
ดาร์บี้ แมตช์ นัดแรกของศึกเอฟเอ คัพ เกิดขึ้นในฤดูกาล 1966-67 โดเยเป็นการเจอกันของสองทีมคู่ปรับในลอนดอนระหว่าง ‘ไก่เดือยทอง’ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส พบกับ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซี ในศึก ‘นอร์ทเวสต์ ลอนดอน ดาร์บี้’ ที่เป็นการเจอกันครั้งแรกในนัดชิงของทีมจากเมืองหลวงแห่งเกาะอังกฤษ ซึ่งผลจบลงที่ฝั่งสเปอร์ส คว้าชัยเหนือเชลซี ไป 2-1ท่ามกลางผู้ชมกว่า 100,000 คนในสนามเวมบลีย์1976-77: ลิเวอร์พูล 1-2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ผ่านมา 10 ปี ก็มาถึงดาร์บี้ แมตช์ นัดที่สองของฟุตบอลเอฟเอ คัพ ที่เป็นการเจอกันของคู่ปรับสุดแค้นตลอดกาลในศึกนอร์ทเวสต์ ดาร์บี้ หรือ ‘ศึกแดงเดือด’ ที่เราคนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ระหว่าง ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล พบกับ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามเวมบลีย์ กับคนดูกว่า 99,252 คน โดยเป็นการเจอกันในนัดชิงครั้งแรกของทั้งสองทีม ซึ่งผลจบลงที่ฝั่งยูไนเต็ดฯ เอาชนะและคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
1985-86: ลิเวอร์พูล 3-1 เอฟเวอร์ตัน
ถัดมาอีกเกือบ 10 ปี ก็เกิด ‘เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้’ ครั้งแรกในศึกเอฟเอ คัพ กับการเจอกันของสองคู่แค้นร่วมเมืองที่สนามห่างกันแค่สวนสาธารณะ สแตนลีย์ พาร์ค กั้นตรงกลาง ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน โดยทั้งสองทีมเจอกันท่ามกลางสักขีพยาน 98,000 คน ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งผลจบลงที่ทีมหงส์แดง เอาชนะไปได้ 3-1 ทั้งๆ ที่โดนทีมทอฟฟี่สีน้ำเงิน ขึ้นนำไปก่อนจาก แกรี ลินิเกอร์ ตั้งแต่นาทีที่ 27 แต่ยอดตำนานของทีมอย่าง เอียน รัช จะมายิงตีเสมอได้ในนาทีที่ 56 จากนั้นก็ได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 62 จาก เคร็ก จอห์นสตัน ก่อนที่ รัช จะมายิงประตูตอกฝาโลง ส่งให้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ห้าในประวัติศาสตร์ที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลลีกและบอลถ้วยได้สำเร็จ
1988-89: ลิเวอร์พูล 3-2 เอฟเวอร์ตัน
ผ่านมาแค่ 3 ปี ‘เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้’ แมตช์ที่สองก็เกิดขึ้นในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ และก็ยังเป็นทางฝั่งของ ‘หงส์แดง’ ที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับคู่แค้นร่วมเมืองไปเหมือนเดิมด้วยสกอร์ 3-2 โดยเกมนี้ต้องยืดเยื้อกันจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากที่ทาง จอห์น อัลดริดจ์ กดประตูขึ้นนำให้ลิเวอร์พูลไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4 ก่อนจะมาโดน สจ๊วต แมคคอลล์ ยิงตีเสมอในช่วงก่อนหมดเวลา จากนั้นลิเวอร์พูลก็ได้ประตูขึ้นนำอีกรอบจาก เอียน รัช ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 95 และมาโดน แมคคอลล์ ยิงตีเสมออีกรอบนาทีที่ 102 และก็เป็น รัช ที่เป็นฮีโร่คนเดิมกดประตูชัยในอีก 2 นาทีถัดมา พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จอีกหน
1995-96: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ลิเวอร์พูล
แล้วก็มาถึง ‘ศึกแดงเดือด’ ในนัดชิงเอฟเอ คัพ ครั้งที่สองระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ ลิเวอร์พูล ที่สนามเวมบลีย์ ท่ามกลางผู้ชมเกือบ 80,000 คน ซึ่งประตูชัยของยูไนเต็ดฯ มาจาก เอริก คันโตน่า ในนาทีที่ 85 โดยในปีนั้นคือการกลับมาของ ‘คิงคันโตน่า’ หลังจากเขาโดนแบนไป 8 เดือน จาก ‘กังฟูคิก’ อันลือลั่นใส่ยอดหน้าคนดู ส่งให้แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ได้ถึง 2 สมัยจากการเข้าชิง 3 หนติดต่อกัน และยังเป็นทีมแรกที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์สองครั้งได้ในรอบ 3 ปี
2001-02: อาร์เซนอล 2-0 เชลซี
หลังจากผ่านมานานกว่า 35 ปี ดาร์บี้ แมตช์ ‘นอร์ทเวสต์ ลอนดอน ดาร์บี้’ ก็เกิดขึ้นอีกรอบ แต่คราวนี้กลายเป็นการเจอกันครั้งแรกของทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล กับ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซี ในรอบชิงเอฟเอ คัพ ครั้งที่ 121 ณ สนามมิลเลเนียม สเตเดียม ในกรุงคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์ โดยเป็นทางอาร์เซนอลของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่เอาชนะไปได้ 2-0 จากประตูของ เรย์ พาเลอร์ ในนาทีที่ 70 และ เฟรดริก ลุงเบิร์ก ในนาทีที่ 80 คว้าดับเบิ้ลแชมป์ครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร และเป็นการได้แชมป์เอฟเอ คัพ มากสุดเหนือทุกทีมในอังกฤษ
2016-17: อาร์เซนอล 2-1 เชลซี
เว้นช่วงมาประมาณ 15 ปีกว่าจะเกิด ดาร์บี้ แมตช์ นัดชิงของเอฟเอ คัพ อีกครั้ง และก็ยังเป็นคู่แค้นร่วมเมืองหลวงระหว่าง อาร์เซนอล กับ เชลซี เหมือนเดิมที่โคจรมาพบกันอีกรอบ ซึ่งก็ยังเป็นทางทัพ ‘ปืนใหญ่’ ที่ย้ำชัยเหนือ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ ไปได้เหมือนเดิมด้วยสกอร์ 2-1 โดยทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ได้ประตูออกนำตั้งแต่ไก่โห่จาก อเล็กซิส ซานเชซ ก่อนที่ทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ จะตามตีเสมอได้ในนาทีที่ 76 จากการยิงของ ดิเอโก คอสต้า แต่หลังจากนั้นแค่ 3 นาที อาร์เซนอลก็มาได้ประตูชัยจาก อารอน แรมซีย์ คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 13 ของสโมสรไปครองได้สำเร็จ
2019-20: อาร์เซนอล 2-1 เชลซี
ถัดจากนั้นมาแค่ 2 ปี ทั้งสองทีมก็กลับมาเจอกันอีกครั้งในศึกเอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2019-20 ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 พอดิบพอดี ทำให้นัดชิงชนะเลิศในวันนั้นหงอยเหงากว่าที่เคย จากที่คนดูต้องแน่นสนามจนไม่มีพื้นที่เหลือแน่นอน เพราะเป็นดาร์บี้ แมตช์ ใหญ่ๆ ของนัดชิงระดับนี้ แต่ในวันนั้นเวมบลีย์ไม่มีผู้ชมเลยแม้แต่คนเดียว เนื่องจากต้องลงเล่นกันแบบไม่มีคนดู แต่ก็ยังเป็นทาง อาร์เซนอล ของ มิเกล อาร์เตต้า ที่เอาชนะ เชลซี ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ไปได้ด้วยสกอร์เดิมกับครั้งที่แล้ว โดยรอบนี้เป็นเชลซีที่ออกนำไปก่อนจากประตูของ คริสเตียน พูลิซิช ก่อนจะมาโดน ปิแอร์ โอบาเมยอง เหมาสองส่งให้ทีมปืนใหญ่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 14 มากสุดในประวัติศาสตร์ของถ้วยใบนี้เป็นยังไงกันบ้างครับกับ ดาร์บี้ แมตช์ นัดชิงของศึกเอฟเอ คัพ ที่เราเอามาฝากกัน ส่วนนัดชิง ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้’ ครั้งแรกที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ใครจะเป็นผู้ชนะ ต้องรอติดตามกันในวันที่ 3 มิถุนายน ซึ่งก่อนแข่งเราก็จะมาพรีวิวนัดชิงให้อ่านกันอีกรอบครั