หลังจบ ‘Austrian Grand Prix’ ก็เว้นให้หายใจหายคอกันแค่อาทิตย์เดียว บรรดาคอกีฬามอเตอร์สปอร์ตก็มาต่อกันเลยกับศึก Formula 1 สนามที่ 10 ประจำซีซัน 2023 กับ ‘British Grand Prix’ ที่สนาม Silverstone Circuit ในสหราชอาณาจักร สนามแรกอย่างเป็นทางการที่จัดแข่งขัน F1 ในปี 1950 ซึ่งในปีนั้นมี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ พระองค์ชายพีระ ทรงร่วมการแข่งขันด้วย โดยพระองค์ถือเป็นนักแข่ง Formula 1 ชาวไทยคนแรก ในขณะที่ Alexander Albon ของเราคือคนที่สอง และตามธรรมเนียมเช่นเคยหลังดูจบ Spacebar VIBE ก็จะขอมาสรุปผลการแข่งขันให้ทุกคนที่ติดตามได้รู้กัน สำหรับ British Grand Prix จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามได้เลยครับ



เริ่มกันที่บรรดาคนดัง เซเลบริตี้ จากหลากหลายวงการที่ยกขบวนกันมาชม เริ่มตั้งแต่ Brad Pitt พระเอกจากฮอลลีวูด ที่กำลังจะมีภาพยนต์เกี่ยวกับ F1 เรื่อง Apex ที่น่าจะมาถ่ายทำส่วนหนึ่งกันที่ Silverstone วันนี้ด้วย ต่อด้วย Sam Worthington พระเอกเรื่อง Avatar, Hannah Waddingham นักแสดงหญิงจากซีรีส์ฟุตบอลชื่อดัง Ted Lasso, Cara Delevingne นางแบบและนักแสดงสาวชาวอังกฤษ และ Jeremy Clarkson คนขับ Hilux กระบะผีสิงที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี
ในขณะที่ฝั่งกีฬาก็นำทัพมาโดย Pep Guardiola ยอดเฮดโค้ชที่เพิ่งพาแมนฯ ซิตี้ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ซีซันที่ผ่านมา ที่พาครอบครัวมาดู ถัดมาเป็น Antony ปีกจอมหมุนจากทีมปีศาจแดง ตามด้วยสองนักเตะเชลซีอย่าง Thiago Silva และ Reece James ส่วนนักเตะคนอื่นก็มี Paulo Dybala สตาร์ของโรม่า, Troy Deeney กองหน้าวัตฟอร์ด, Romeo Beckham ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ David Beckham, Fran Kirby กับ Beth Mead สองนักฟุตบอลหญิง และ นักเตะระดับตำนานอย่าง Andy Cole ก็มาด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีนักการเมืองหญิงชาวอังกฤษอย่าง Priti Patel, Gordon Ramsey เชฟหัวร้อนชื่อดัง ฟากนักร้องก็มี Sam Ryder นักร้องที่แจ้งเกิดจาก TikTok, Ricky Wilson, Liam Payne และ Shakira
ในขณะที่ฝั่งกีฬาก็นำทัพมาโดย Pep Guardiola ยอดเฮดโค้ชที่เพิ่งพาแมนฯ ซิตี้ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ซีซันที่ผ่านมา ที่พาครอบครัวมาดู ถัดมาเป็น Antony ปีกจอมหมุนจากทีมปีศาจแดง ตามด้วยสองนักเตะเชลซีอย่าง Thiago Silva และ Reece James ส่วนนักเตะคนอื่นก็มี Paulo Dybala สตาร์ของโรม่า, Troy Deeney กองหน้าวัตฟอร์ด, Romeo Beckham ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ David Beckham, Fran Kirby กับ Beth Mead สองนักฟุตบอลหญิง และ นักเตะระดับตำนานอย่าง Andy Cole ก็มาด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีนักการเมืองหญิงชาวอังกฤษอย่าง Priti Patel, Gordon Ramsey เชฟหัวร้อนชื่อดัง ฟากนักร้องก็มี Sam Ryder นักร้องที่แจ้งเกิดจาก TikTok, Ricky Wilson, Liam Payne และ Shakira


อย่างที่บอกไปแล้วว่า Silverstone Circuit สนามประจำ British Grand Prix เป็นสนามแรกที่ใช้จัดการแข่งขันศึกรถสูตรหนึ่ง หรือ Formula 1 อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1950 ถือเป็นสนามแข่งรถเก่าแก่แห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักร และวงการ F1 โดยถูกขนานนามให้เป็น ‘Home of British Motor Racing’ และ ‘Home of Formula 1’ อีกด้วย สำหรับแทร็คในเวอร์ชันปัจจุบันมีความยาวอยู่ที่ 5.891 กิโลเมตร 18 โค้ง ทำการแข่งกันทั้งหมด 52 รอบ มีโซนที่ใช้ DRS หรือการเปิดปีกท้ายได้ทั้งหมด 2 โซนแรกอยู่บริเวณทางตรง Wellington Straight หลังหลุดโค้ง 5 ยาวไปจนถึงก่อนเข้าโค้ง 6 ส่วนโซนที่ 2 อยู่ที่ทางตรง Hangar Straight หลังออกโค้ง 14 วิ่งยาวไปถึงโค้ง Stowe หรือโค้งที่ 15 และด้วยรอบการแข่งขันที่ไม่ลากยาวไปถึง 70 รอบ เหมือนกับ Austrian Grand Prix ที่ผ่านมา ทำให้เราจะไม่ค่อยได้เห็นหลายๆ ทีมใช้ยาง Hard กันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ Medium หรือ Soft ตั้งแต่ออกสตาร์ทเลย เพื่อที่จะไล่บี้หรือหนีคู่ต่อสู้ได้เร็วขึ้น ยิ่งถ้าทีม Race Engineer วางแผนกันดี การเข้าพิทเปลี่ยนยางตามกฎแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับเรซนี้
มาถึงในส่วนของ Starting Grid กันบ้าง ก็ยังคงเป็น Max Verstappen สุดยอดนักขับจาก Red Bull Racing ที่ทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมออกสตาร์ทในตำแหน่ง Pole Position เหมือนเดิม ผิดกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง ‘Checo’ Sergio Perez ที่ช่วงหลังค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะเขาขับควอลิฟายได้ค่อนข้างแย่ ไม่ผ่านตั้งแต่ Q1 ทำให้ออกสตาร์ทอันดับ 15 เหมือนสนามที่แล้ว และที่เซอร์ไพรส์มากๆ คือนักขับจากทีม McLaren ทั้ง 2 คน โดยเฉพาะ Lando Norris ที่สนามนี้เป็นโฮมเรซทั้งของเขากับทีมได้ออกสตาร์ทแถวหน้าในอันดับที่ 2 เช่นเดียวกับ Oscar Piastri เพื่อนร่วมทีมที่ต่อจากเขาเลยในอันดับ 3 ส่วนอันดับ 4 กับ 5 ตกเป็นของ Charles Leclerc และ Carlos Sainz จาก Ferrari ในขณะที่นักขับเจ้าถิ่นจาก Mercedes อย่าง George Russell และ Lewis Hamilton เริ่มในอันดับ 6 และ 7 ส่วนอันดับที่ 8 ก็น่ายินดีไม่แพ้กัน เพราะเป็นด้าน Alexander Albon นักขับชาวไทย จากทีม Williams ทีมที่ลงแข่งสนามนี้ในฐานะโฮมเรซอีกทีม ส่วนอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มี Fernando Alonso ของ Aston Martin สตาร์ทอันดับ 9 และ Pierre Gasly ในอันดับที่ 10
มาถึงในส่วนของ Starting Grid กันบ้าง ก็ยังคงเป็น Max Verstappen สุดยอดนักขับจาก Red Bull Racing ที่ทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมออกสตาร์ทในตำแหน่ง Pole Position เหมือนเดิม ผิดกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง ‘Checo’ Sergio Perez ที่ช่วงหลังค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะเขาขับควอลิฟายได้ค่อนข้างแย่ ไม่ผ่านตั้งแต่ Q1 ทำให้ออกสตาร์ทอันดับ 15 เหมือนสนามที่แล้ว และที่เซอร์ไพรส์มากๆ คือนักขับจากทีม McLaren ทั้ง 2 คน โดยเฉพาะ Lando Norris ที่สนามนี้เป็นโฮมเรซทั้งของเขากับทีมได้ออกสตาร์ทแถวหน้าในอันดับที่ 2 เช่นเดียวกับ Oscar Piastri เพื่อนร่วมทีมที่ต่อจากเขาเลยในอันดับ 3 ส่วนอันดับ 4 กับ 5 ตกเป็นของ Charles Leclerc และ Carlos Sainz จาก Ferrari ในขณะที่นักขับเจ้าถิ่นจาก Mercedes อย่าง George Russell และ Lewis Hamilton เริ่มในอันดับ 6 และ 7 ส่วนอันดับที่ 8 ก็น่ายินดีไม่แพ้กัน เพราะเป็นด้าน Alexander Albon นักขับชาวไทย จากทีม Williams ทีมที่ลงแข่งสนามนี้ในฐานะโฮมเรซอีกทีม ส่วนอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มี Fernando Alonso ของ Aston Martin สตาร์ทอันดับ 9 และ Pierre Gasly ในอันดับที่ 10


ต่อกันที่ช่วงของการแข่งขัน British Grand Prix กันเลย เริ่มออกสตาร์ทเป็นทาง Lando Norris ที่เรียกเสียงเฮจากแฟนๆ เจ้าถิ่นตั้งแต่เริ่มออกตัว เพราะเขาขึ้นนำ Max Verstappen ได้ตั้งแต่ยังไม่เข้าโค้งแรก และสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำได้นานถึง 5 รอบ ก่อนจะมาโดน Max เปิด DRS แซงคืน ในขณะที่นักแข่งขวัญใจเจ้าบ้านอีกคนอย่าง Sir Lewis Hamilton ก็ไม่น้อยหน้ามีจังหวะแซงสวยๆ ใส่ Fernando Alonso ได้ในรอบที่ 7 และผ่านไปแค่เพียง 10 รอบ ก็เป็นทาง Esteban Ocon จากทีม Alpine ที่รถมีปัญหาเรื่องระบบไฮโดรลิค ทำให้ต้องรีไทร์เรซนี้ไปแบบน่าเสียดาย
ในขณะที่ทางฝั่ง Ferrari ก็ยังมีเรื่องแปลกๆ งงๆ ให้แฟนๆ ได้นั่งเกาหัวกับการวางแผนเหมือนเดิม เมื่อมีช่วงหนึ่งของการแข่งขันที่ทาง Carlos Sainz วิทยุคุยกับทีม Race Engineer ว่าต้องเปลี่ยนมาใช้แผน B ไหม แต่ทีมดันตอบว่าลืมแผน B ไปแล้ว จน Sainz ต้องบอกว่าเดี๋ยวผมบอกแล้วกัน ต่อด้วยการเข้าพิทไปเปลี่ยนยางของนักขับทั้ง 2 คน ที่เข้าไปแล้วเปลี่ยนออกมาเป็นยาง Hard ทั้งคู่ โดยพลาดตั้งแต่ให้ Leclerc เปลี่ยนจาก Medium เป็น Hard ทั้งที่อยู่ในกลุ่มผู้นำ โชคยังดีที่รถของ Kevin Magnussen จาก Haas มีปัญหาเครื่องยนต์ในรอบที่ 32 ทำให้มี Safety Car ออกมาวิ่ง Leclerc เลยได้โอกาสเข้าไปใส่ยาง Soft แต่นั่นก็เกิดคำถามขึ้นกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง Sainz เหมือนกันว่าทำไมไม่เรียกเขาเข้าไปเปลี่ยนยางด้วย
ในขณะที่ทางฝั่ง Ferrari ก็ยังมีเรื่องแปลกๆ งงๆ ให้แฟนๆ ได้นั่งเกาหัวกับการวางแผนเหมือนเดิม เมื่อมีช่วงหนึ่งของการแข่งขันที่ทาง Carlos Sainz วิทยุคุยกับทีม Race Engineer ว่าต้องเปลี่ยนมาใช้แผน B ไหม แต่ทีมดันตอบว่าลืมแผน B ไปแล้ว จน Sainz ต้องบอกว่าเดี๋ยวผมบอกแล้วกัน ต่อด้วยการเข้าพิทไปเปลี่ยนยางของนักขับทั้ง 2 คน ที่เข้าไปแล้วเปลี่ยนออกมาเป็นยาง Hard ทั้งคู่ โดยพลาดตั้งแต่ให้ Leclerc เปลี่ยนจาก Medium เป็น Hard ทั้งที่อยู่ในกลุ่มผู้นำ โชคยังดีที่รถของ Kevin Magnussen จาก Haas มีปัญหาเครื่องยนต์ในรอบที่ 32 ทำให้มี Safety Car ออกมาวิ่ง Leclerc เลยได้โอกาสเข้าไปใส่ยาง Soft แต่นั่นก็เกิดคำถามขึ้นกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง Sainz เหมือนกันว่าทำไมไม่เรียกเขาเข้าไปเปลี่ยนยางด้วย


ส่วนฝั่งทีมเจ้าถิ่นอย่าง McLaren ก็อาศัยช่วง Safety Car เข้าพิทเช่นกัน แต่ก็เลือกเปลี่ยนออกมาเป็นยาง Hard ทั้งคู่ ซึ่งก็อันตรายต่อการโดนแซง เนื่องจากคันอื่นๆ เปลี่ยนเป็นยาง Soft เกือบหมด แต่ Zak Brown ซีอีโอทีมให้เหตุผลว่ายางสดที่ใช้ได้จริงๆ เหลือแค่ยาง Hard บวกกับเหตุผลในส่วนการเซ็ตอัพตัวรถที่ทำให้ยางสึกเร็ว เลยกลัวรอบท้ายๆ จะมีปัญหาต้องเข้าพิทอีกรอบ ซึ่งหลังจากที่รถ Safety Car ออกจากสนามและการแข่งขันกลับมาต่อในรอบที่ 39 ก็มีไฮไลต์ที่ทาง Lewis Hamilton พยายามจะแซง Lando Norris แต่ต้องชมทาง Norris ที่ขับได้ดีมาก และรักษาความเร็วในช่วงโค้งได้ดี ทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสแซง จน Hamilton ต้องเอ่ยปากชมออกวิทยุชมว่าวิ่งด้วยยาง Hard ได้ดีมากๆ
หลังจากนั้นไม่นานในรอบที่ 43 การวางแผนผิดพลาดของ Ferrari ก็เห็นผล เมื่อทาง Carlos Sainz โดน Sergio Perez แซง ต่อด้วย Alexander Albon ที่แซงไปอีกคัน ทำให้ Sainz ร่วงจากอันดับ 7 ลงมาอันดับ 9 ก่อนจะโดน Leclerc เพื่อนร่วมทีมแซงจนสุดท้ายร่วงมาอยู่อันดับที่ 10 หลังจากนั้นไฮไลต์ของการแข่งขันก็มีแค่ทาง Pierre Gasly ที่โดน Lance Stroll ชน จนรถมีปัญหากับระบบบังคับเลี้ยว ต้องรีไทร์ในรอบที่ 46 แข่งไม่จบไปเป็นคันที่ 3 และทำให้ทีม Alpine แข่งไม่จบทั้ง 2 คัน
หลังจากนั้นไม่นานในรอบที่ 43 การวางแผนผิดพลาดของ Ferrari ก็เห็นผล เมื่อทาง Carlos Sainz โดน Sergio Perez แซง ต่อด้วย Alexander Albon ที่แซงไปอีกคัน ทำให้ Sainz ร่วงจากอันดับ 7 ลงมาอันดับ 9 ก่อนจะโดน Leclerc เพื่อนร่วมทีมแซงจนสุดท้ายร่วงมาอยู่อันดับที่ 10 หลังจากนั้นไฮไลต์ของการแข่งขันก็มีแค่ทาง Pierre Gasly ที่โดน Lance Stroll ชน จนรถมีปัญหากับระบบบังคับเลี้ยว ต้องรีไทร์ในรอบที่ 46 แข่งไม่จบไปเป็นคันที่ 3 และทำให้ทีม Alpine แข่งไม่จบทั้ง 2 คัน


แน่นอนว่าผู้ชนะในเรซนี้ก็ยังคงเป็น Max Verstappen เหมือนเดิมที่วิ่งเข้าไปรับธงตราหมากรุกเป็นครั้งแรก พ่วงด้วยการทำ Fastest Laps ด้วยเวลา 1:30.275 ทำให้นี่กลายเป็นชัยชนะของทีม Red Bull ครั้งแรกใน Silverstone นับตั้งแต่ปี 2012 และตอนนี้พวกเขาชนะติดต่อกัน 11 สนามเข้าไปแล้ว นอกจากนี้ Max Verstappen ยังออกสตาร์ทจากตำแหน่ง Pole Position แล้วชนะได้เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน
ในขณะที่ตำแหน่งโพเดียมอีก 2 คัน ตกเป็นของ Lando Norris กับ Lewis Hamilton นักขับขวัญใจเจ้าถิ่น ในอันดับที่ 2 และ 3 ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในโฮมเรซ เป็นครั้งแรกของนักแข่งอังกฤษที่ได้ยืนโพเดียมพร้อมกัน 2 คน นับตั้งแต่ปี 1999 ส่วนเพื่อนร่วมทีม McLaren อย่าง Oscar Piastri จบอันดับ 4 ซึ่งเป็นการจบเรซอันดับที่ดีที่สุดของเขานับตั้งแต่ขึ้นมาขับ F1 ในฐานะรุกกี้ และน่าผิดหวังมากๆ กับ Ferrari ที่ออกสตาร์ทอันดับที่ 4 และ 5 แต่ต้องจบในอันดับที่ 9 และ 10 เพราะการวางแผนที่ผิดพลาดของทีมงาน
ส่วนผลการแข่งขันของนักขับที่เหลือใน British Grand Prix รวมไปถึงอันดับคะแนนสะสมล่าสุดของนักแข่งและทีมผู้ผลิต จะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามด้านล่างนี้ได้เลยครับ
ในขณะที่ตำแหน่งโพเดียมอีก 2 คัน ตกเป็นของ Lando Norris กับ Lewis Hamilton นักขับขวัญใจเจ้าถิ่น ในอันดับที่ 2 และ 3 ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในโฮมเรซ เป็นครั้งแรกของนักแข่งอังกฤษที่ได้ยืนโพเดียมพร้อมกัน 2 คน นับตั้งแต่ปี 1999 ส่วนเพื่อนร่วมทีม McLaren อย่าง Oscar Piastri จบอันดับ 4 ซึ่งเป็นการจบเรซอันดับที่ดีที่สุดของเขานับตั้งแต่ขึ้นมาขับ F1 ในฐานะรุกกี้ และน่าผิดหวังมากๆ กับ Ferrari ที่ออกสตาร์ทอันดับที่ 4 และ 5 แต่ต้องจบในอันดับที่ 9 และ 10 เพราะการวางแผนที่ผิดพลาดของทีมงาน
ส่วนผลการแข่งขันของนักขับที่เหลือใน British Grand Prix รวมไปถึงอันดับคะแนนสะสมล่าสุดของนักแข่งและทีมผู้ผลิต จะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามด้านล่างนี้ได้เลยครับ


ผลการแข่งขัน British Grand Prix
5 อันดับคะแนนสะสมนักแข่ง
- Max Verstappen (Red Bull Racing)
- Lando Norris (McLaren)
- Lewis Hamilton (Mercedes)
- Oscar Piastri (McLaren)
- George Russell (Mercedes)
- Sergio Perez (Red Bull Racing)
- Fernando Alonso (Aston Martin)
- Alexander Albon (Williams)
- Charles Leclerc (Ferrari)
- Carlos Sainz (Ferrari)
- Logan Sargeant (Williams)
- Valtteri Bottas (Alfa Romeo)
- Nico Hulkenberg (Haas F1 Team)
- Lance Stroll (Aston Martin)
- Zhou Guanyu (Alfa Romeo)
- Yuki Tsunoda (AlphaTauri)
- Nyck de Vries (AlphaTauri)
5 อันดับคะแนนสะสมนักแข่ง
- Max Verstappen 255 คะแนน
- Sergio Perez 156 คะแนน
- Fernando Alonso 137 คะแนน
- Lewis Hamilton 121 คะแนน
- Carlos Sainz 83 คะแนน
- Red Bull Racing 411 คะแนน
- Mercedes 203 คะแนน
- Aston Martin 181 คะแนน
- Ferrari 157 คะแนน
- McLaren 59 คะแนน
- Alpine 47 คะแนน
- Williams 11 คะแนน
- Haas F1 Team 11 คะแนน
- Alfa Romeo 9 คะแนน
- AlphaTauri 2 คะแนน