เข้าสู่ช่วงท้ายของฤดูกาลแล้วสำหรับศึกรถสูตรหนึ่ง หรือ Formula 1 2023 โดยตอนนี้เดินทางมาถึงเรซที่ 17 แล้วกับ ‘Qatar Grand Prix’ สนามที่ 4 ของซีซันที่มีการแข่งขัน Sprint Race จากทั้งหมด 6 สนามในปีนี้ โดยไฮไลท์หลักๆ ที่หลายคนจับตามองในสุดสัปดาห์นี้ก็คือ การคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ของ Max Verstappen เพราะนักขับชาวดัตช์ต้องการอีกแค่ 3 คะแนน ก็จะก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกฤดูกาลนี้แล้ว และ Qatar Grand Prix ณ สนาม Lusail International Circuit ในเมืองลูเซล ประเทศกาตาร์ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามได้เลยครับ

สำหรับ Lusail International Circuit สนามแข่งขันที่อยู่ห่างจาก Lusail Iconic Stadium สังเวียนที่ทีมชาติอาร์เจนตินา คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เพียงแค่ 1.7 กิโลเมตร เป็นสนามที่จัดการแข่งขันศึกมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปัจจุบัน โดยเพิ่งจะมาจัดการแข่งขัน Formula 1 ครั้งแรกในปี 2021 แต่ในปีที่ผ่านมาไม่มีการแข่งขัน เพราะต้องหลีกทางให้กับอีเวนต์ฟุตบอลโลก ก่อนจะกลับมาแข่งขันอีกครั้งในฤดูกาลนี้ และต่อเนื่องไปอีก 10 ปี นอกจากนี้ Qatar Grand Prix ยังเป็นการแข่งขันในช่วงกลางคืนแบบเต็มรูปแบบเรซที่ 4 ต่อจาก Singapore Grand Prix, Bahrain Grand Prix และ Sakhir Grand Prix ซึ่งการแข่งขันทั้งวัน Sprint Race กับ Main Race ก็มีซุปเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนังอย่าง David Beckham เดินทางมาชมด้วย
มาต่อกันที่ข้อมูลของสนาม Lusail International Circuit สนามแข่งขันประจำศึก Qatar Grand Prix กันบ้าง แทร็คนี้มีความยาวทั้งหมด 5.419 กิโลเมตร ทำการแข่งขันกันทั้งหมด 57 รอบ เป็นเซอร์กิตที่มีทางตรงยาวแค่ช่วงเดียวเท่านั้น คือช่วงทางตรงจุดสตาร์ท เป็นจุดเดียวที่สามารถใช้ DRS ได้ มีโค้งทั้งหมด 16 โค้ง โดยเป็นโค้งที่ต้องใช้ฝีมือในการควบคุมรถมากพอสมควร เพราะเป็นลักษณะโค้งความเร็ว ไม่ใช่โค้งลึกที่ต้องเบรกแบบสุดตัวเพื่อเข้าโค้งสักเท่าไหร่ บวกกับลมที่ค่อนข้างแรง และสภาพพื้นที่แทร็คที่เต็มไปด้วยทราย ทำให้ถ้ากริปในการคุมรถไม่ดีพอก็จะหลุดขอบสนาม แล้วโดนลงโทษ Track Limit กันได้ง่ายๆ ซึ่งในเรซนี้ก็โดนกันกระจายในช่วงโค้งที่ 5 และอีกข้อสำคัญคือแทร็คมีทรายค่อนข้างเยอะ ทำให้พื้นถนนค่อนข้างแห้ง รวมไปถึงเคิร์ฟของโค้งที่ค่อนข้างแหลม ส่งผลให้กินยางไม่น้อย จนทาง Pirelli บริษัทผู้ผลิตยางที่ใช้ในการแข่งขัน ลงความเห็นกับ FIA ว่าใน Main Race ทุกทีมจะต้องเข้าพิทอย่างน้อย 3 รอบ เพื่อไปเปลี่ยนยางเมื่อใช้ครบ 18 รอบ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากสภาพยางที่เสียหาย

และอย่างที่บอกไปว่าสนามนี้เป็นเรซที่ 4 ของการแข่งขันในหน้าปฏิทินที่มีการแข่งขัน Sprint Race หรือการแข่งระยะสั้น 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนสะสม โดยรอบนี้มีนักแข่งถึง 5 คน จาก 5 ทีมที่ไม่สามารถจบการแข่งขันได้ นั่นก็คือ Nico Hulkenberg ของ Hass, Esteban Ocon ของ Alpine, Sergio Perez ของ Red Bull, Logan Sargeant ของ Williams และ Liam Lawson ของ AlphaTauri โดย Oscar Piastri จากทีม McLaren สร้างสถิติเป็นรุกกี้ในรอบ 10 ปีที่ได้ออกสตาร์ทกริดอันดับ 1 และ รุกกี้คนแรกที่คว้าตำแหน่ง Pole Position ในรอบ Sprint Shootout และ สามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ได้ ส่วนเพื่อนร่วมทีมอย่าง Lando Norris ได้ที่ 3 และ Max Verstappen ได้อันดับ 2 คว้าเพิ่ม 7 คะแนน ทำให้เขาเป็นแชมป์โลกทันทีตั้งแต่คืนวันเสาร์ เพราะก่อนเริ่มเรซนี้เขาต้องการอีกแค่ 3 คะแนน และที่น่ายินดีมากๆ สำหรับแฟน F1 ชาวไทยคือ Alexander Albon เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 7 เก็บแต้มสะสมเพิ่มไปได้อีก 2 คะแนน
สำหรับ Starting Grid สนามนี้ Max Verstappen นักขับแชมป์โลกคว้าตำแหน่ง Pole Position ได้ ส่วนอันดับที่ 2 กับ 3 รอบนี้เป็นทีม Mercedes ที่ทำได้ดี เพราะทั้ง George Russell และ Lewis Hamilton ได้สตาร์ทหัวแถวทั้งคู่ ในขณะที่ทางฝั่งของทีมที่ได้โพเดียมใน Sprint Race อย่าง McLaren ทำผลงานได้ไม่ดีในรอบควอลิฟายจน Oscar Piastri ออกสตาร์ทในอันดับ 6 กับ Lando Norris อันดับที่ 10 ฟากสองนักแข่งจากทีม ‘ม้าลำพอง’ Ferrari อย่าง Charles Leclerc อยู่อันดับ 5 และ Carlos Sainz ที่เดิมทีต้องอยู่ในอันดับ 12 แต่สุดท้ายดันไม่ได้แข่ง เพราะมีปัญหาเชื้อเพลิงรั่วจากตัวรถ และทีมไม่สามารถแก้ไขได้ทัน พลาดแข่งขันไปแบบน่าเสียดาย ส่วนอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มี Fernando Alonso ของ Aston Martin อันดับ 4, Pierre Gasly กับ Esteban Ocon จาก Alpine อันดับ 7 และ 8, Alexander Albon จาก Williams อันดับ 13 และ ‘Checo’ Sergio Perez ต้องไปออกสตาร์ทอันดับสุดท้ายจากพิทเลน เพราะต้องเปลี่ยนไปใช้ Chassis รถสำรอง เนื่องจาก Chassis หลักมีปัญหาจากอุบัติเหตุในรอบ Sprint


มาต่อที่ช่วงของการแข่งขัน Qatar Grand Prix ที่ออกสตาร์ทไปได้ถึงแค่ช่วงโค้งแรกก็มีการชนกันแล้ว เหมือนใน Japanese Grand Prix ไม่มีผิด โดยคราวนี้เป็นคู่หูจากทีม Mercedes ที่ทางด้าน Lewis Hamilton ดันตัดสินใจผิดพลาดไม่ยอมหักรถออกไลน์นอก มั่นใจในกริปของรถตัวเองมากเกินไปว่าจะแทรกผ่าน George Russell ได้ ทั้งๆ ที่เขามีพื้นที่ให้ขับเยอะมาก จนทำให้ล้อหลังขวาของเขาไปชนกับ ล้อหน้าซ้ายของรถรุ่นน้องเต็มๆ กระเด็นหลุดแทร็คไปทั้งคู่ แต่ทางท่านเซอร์เสียหายหนักถึงขั้นล้อหลังหลุดกระจาย จนเกิดความเสียหายไม่สามารถแข่งต่อได้ รีไทร์ตั้งแต่โค้งแรก ในขณะที่ George เองก็ปีกหน้าเสียหาย ต้องเข้าพิทไปเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่ตั้งแต่รอบแรก และนั่นก็ทำให้ Safety Car ต้องออกมาวิ่งตั้งแต่เริ่มออกสตาร์ทได้ไม่นาน ซึ่งในตอนแรก Lewis พูดผ่านวิทยุว่า เขาโดนเพื่อนร่วมทีมชน แต่สุดท้ายหลังจากเห็นภาพช้า เขาก็ออกมายอมรับว่าตัวเองพลาดเอง นอกจากนี้หลังออกสตาร์ท Nico Hulkenberg ยังโดนลงโทษปรับเพิ่ม 10 วินาที เพราะดันอยู่ผิดตำแหน่งบนกริดสตาร์ท ไปสวมที่ของ Carlos Sainz
ซึ่งในเรซนี้ก็ต้องชมทางด้าน George Russell ที่ขับได้ดีมากๆ แม้จะโดนชนในรอบแรกจนต้องหล่นไปอยู่อันดับล่างๆ หลังจากเข้าพิท เพราะเขาไล่แซงสวยๆ ได้หลายครั้ง ตั้งแต่รอบ 6 ที่แซง Sergio Perez ต่อด้วยรอบ 8 ที่แซง Zhou Guanyu ของ Alfa Romeo จากนั้นก็ไปแซง Nico Hulkenberg ในรอบที่ 19 ต่อเนื่องด้วยการแซง Pierre Gasly ในรอบที่ 23 ขึ้นไปอยู่อันดับ 7 หลังจากนั้นเจ้าตัวก็รักษาสปีดการขับของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม จนสามารถจบเรซได้ที่อันดับ 4 และอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าในเรซนี้บังคับให้เข้าพิทเพื่อไปเปลี่ยนยางอย่างน้อยคนละ 3 รอบ ทำให้เรซนี้เป็นการแข่งขันที่คนดูอย่างเราได้เห็นการแซงกันไป แซงกันมาบ่อยมากที่สุดในซีซันนี้


สำหรับอีกทีมที่ทำได้ดีมากๆ ในเรซนี้ต้องยกให้ McLaren ที่ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องมาจากการแข่งขันที่ญี่ปุ่นที่พวกเขาสามารถจบบนโพเดียมได้ทั้งคู่ โดยคราวนี้เริ่มตั้งแต่ทีมพิทเลนของ McLaren ที่ทำลายสถิติพิทเวิร์คการเปลี่ยนยางของ Red Bull ที่เคยทำได้เร็วสุดที่ 1.9 วินาที ไปด้วยเวลาใหม่ 1.8 วินาที กับการเปลี่ยนยางของ Lando Norris ซึ่งตัวนักขับชาวอังกฤษเองแม้จะออกสตาร์ทในอันดับ 10 แต่ก็ขับได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่แซงมาเรื่อยๆ จนจบอันดับ 3 ได้ ในขณะที่ Oscar Piastri ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนตอน Sprint Race เพราะเขาทำผลงานได้ดีมากๆ อีกครั้งด้วยการก้าวขึ้นมาจบอันดับที่ 2 และห่างจากอันดับ 1 แค่ราวๆ 5 วินาที ส่งผลให้ในการแข่งขันคราวนี้เขาคว้าตำแหน่ง Driver of The Day ไปครองได้เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังเพิ่งทำได้ในสนาม Suzuka ที่ผ่านมา


ส่วนผู้ชนะเรซนี้ก็ต้องบอกว่าสมราคาของแชมป์โลก 3 สมัยคนล่าสุด เมื่อทาง Max Verstappen สามารถวิ่งเข้าไปรับธงตราหมากรุกได้เป็นคันแรก ฉลองแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ ต่อจากทีมผู้ผลิตที่เพิ่งทำได้เมื่อสนามที่แล้ว พร้อมกับยังทำ Fastest Lap ไปได้ด้วยในรอบที่ 56 ด้วยเวลา 1:24.319 ในขณะที่อันดับ 2 และ 3 คือ Oscar Piastri กับ Lando Norris จากทีม McLaren ที่ต้องบอกว่าในอีก 5 เรซที่เหลือน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะขึ้นไปยืนบนโพเดียมได้อีกกี่ครั้งกับฟอร์มที่ร้อนแรงขนาดนี้ และนอกจาก Hamilton ที่ไม่จบการแข่งขัน ก็ยังมี Logan Sargeant จาก Williams อีกคนที่แข่งไม่จบ เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายจากอากาศที่ร้อนจัด ต้องรีไทร์ในรอบที่ 40 แถมสภาพตอนออกจากรถยังดูไม่ค่อยดีด้วย เช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง Alexander Albon ที่ก็อิดโรยเหมือนกันตอนออกจากรถ ซึ่งหลังจบการแข่งขันนักแข่งหลายคนก็บ่นเรื่องสภาพอากาศว่ามันร้อนจริงๆ อย่าง Fernando Alonso ถึงขั้นพูดว่าเข้าใจเลยว่าทำไมฟุตบอลโลกปีที่ผ่านมาถึงแข่งเดือนธันวาคม โดยในปีหน้า Qatar Grand Prix ก็จะถูกย้ายเวลาไปแข่งกันในช่วงท้ายซีซัน เพื่อลดปัญหาเรื่องสภาพอากาศที่ร้อนจัด
ส่วนผลการแข่งขันของนักขับคนอื่นๆ ใน Qatar Grand Prix รวมถึงอันดับคะแนนสะสมล่าสุดของนักแข่งและทีมผู้ผลิต จะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ผลการแข่งขัน Qatar Grand Prix Sprint Race
- Oscar Piastri (McLaren)
- Max Verstappen (Red Bull Racing)
- Lando Norris (McLaren)
- George Russell (Mercedes)
- Lewis Hamilton (Mercedes)
- Carlos Sainz (Ferrari)
- Alexander Albon (Williams)
- Fernando Alonso (Aston Martin)
- Pierre Gasly (Alpine)
- Valtteri Bottas (Alfa Romeo)
- Yuki Tsunoda (AlphaTauri)
- Charles Leclerc (Ferrari)
- Kevin Magnussen (Haas F1 Team)
- Zhou Guanyu (Alfa Romeo)
- Lance Stroll (Aston Martin)
ไม่จบการแข่งขัน: Sergio Perez (Red Bull Racing), Logan Sargeant (Williams), Esteban Ocon (Alpine), Liam Lawson (AlphaTauri), Nico Hulkenberg (Haas F1 Team)


ผลการแข่งขัน Qatar Grand Prix Main Race
- Max Verstappen (Red Bull Racing)
- Oscar Piastri (McLaren)
- Lando Norris (McLaren)
- George Russell (Mercedes)
- Charles Leclerc (Ferrari)
- Fernando Alonso (Aston Martin)
- Esteban Ocon (Alpine)
- Valtteri Bottas (Alfa Romeo)
- Zhou Guanyu (Alfa Romeo)
- Sergio Perez (Red Bull Racing)
- Lance Stroll (Aston Martin)
- Pierre Gasly (Alpine)
- Alexander Albon (Williams)
- Kevin Magnussen (Haas F1 Team)
- Yuki Tsunoda (AlphaTauri)
- Nico Hulkenberg (Haas F1 Team)
- Liam Lawson (AlphaTauri)
ไม่จบการแข่งขัน: Logan Sargeant (Williams), Lewis Hamilton (Mercedes)
ไม่ได้แข่งขัน: Carlos Sainz (Ferrari)
5 อันดับคะแนนสะสมนักแข่ง
- Max Verstappen 433 คะแนน
- Sergio Perez 224 คะแนน
- Lewis Hamilton 194 คะแนน
- Fernando Alonso 183 คะแนน
- Carlos Sainz 153 คะแนน
อันดับคะแนนสะสมทีมผู้ผลิต
- Red Bull Racing 657 คะแนน
- Mercedes 326 คะแนน
- Ferrari 298 คะแนน
- Aston Martin 230 คะแนน
- McLaren 219 คะแนน
- Alpine 90 คะแนน
- Williams 23 คะแนน
- Alfa Romeo 16 คะแนน
- Haas F1 Team 12 คะแนน
- AlphaTauri 5 คะแนน