มิลาน ดาร์บี้: สงครามในโลกฟุตบอลที่มีจุดเริ่มต้นจากเรื่องชาตินิยม

15 ก.ย. 2566 - 03:09

  • ‘มิลาน ดาร์บี้’ ระหว่าง อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน แมตช์ที่ลงเตะกันทีไรอุณหภูมิในการแข่งขันก็เดือดพล่านทุกครั้ง

  • ประวัติศาสตร์ของ ‘มิลาน ดาร์บี้’ เป็นมาอย่างไร ทำไมถึงใส่เต็มกันตลอด วันนี้เราจะพาไปย้อนรอยหนึ่งในดาร์บี้แมตช์ที่เดือดที่สุดในโลกฟุตบอลไปพร้อมๆ กันครับ

Milan-derby-match-history-SPACEBAR-Thumbnail
สัปดาห์นี้ฟุตบอลลีกต่างๆ ทั่วโลกกลับมาลงสนามสู้กันต่อ หลังจากที่หลีกให้กับโปรแกรมทีมชาติมา 1 อาทิตย์เต็มๆ โดยเฉพาะ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป โดยคู่ไฮไลต์หลักๆ ก็มีทั้งพรีเมียร์ลีกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเปิดบ้านเจอ ไบรท์ตัน ส่วนบุนเดสลีกาก็มีศึกชิงบัลลังก์จ่าฝูงระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค พบกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และอีกคู่ที่ต้องบอกว่าสำคัญมากๆ อยู่ที่ลีกแดนมักกะโรนี คือศึกดาร์บี้แมตช์แห่งเมืองมิลาน หรือชื่ออย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษคือ ‘Derby della Madonnina’ การพบกันระหว่างสองคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน ที่ลงเตะกันทีไรอุณหภูมิในการแข่งขันก็เดือดพล่านทุกครั้ง 

สงครามระหว่างสองทีมเมืองมิลานเพิ่งจะเกิดขึ้นในศึกถ้วยบิ๊กเอียร์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศซีซันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นฝั่ง ‘งูใหญ่’ ที่เอาชนะได้ทั้งสองนัดด้วยสกอร์รวม 3-0 หลังจากนั้นระยะเวลาผ่านมาแค่ราวๆ 4 เดือน ในบอลลีกฉบับ 2023/24 ทั้งคู่เจอกันตั้งแต่นัดที่ 4 ของฤดูกาล และเจอกันในเวอร์ชันที่ฟอร์มกำลังแรง เพราะทั้งคู่เป็นสองทีมที่ยังไม่แพ้ใครเลยตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา 3 นัด ชนะรวด เก็บ 9 คะแนนเต็ม นัดนี้จึงเหมือนเป็นการชิงจ่าฝูงกลายๆ ใครดีกว่าก็ได้ไป 

แน่นอนว่าการเจอกันของทั้งคู่การันตีความเดือด ความมันสำหรับแฟนบอลแบบเราๆ อยู่เสมอ แต่ประวัติศาสตร์ของ ‘มิลาน ดาร์บี้’ เป็นมาอย่างไร ทำไมถึงใส่เต็มกันตลอด วันนี้เราจะพาไปย้อนรอยหนึ่งในดาร์บี้แมตช์ที่เดือดที่สุดในโลกฟุตบอลไปพร้อมๆ กันครับ 

‘ชาตินิยม’ จุดเริ่มต้นความเดือดของสองทีมแห่งเมืองมิลาน 

มิลาน ฟุตบอล แอนด์ คริกเก็ต คลับ ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคมปีค.ศ. 1899 โดย เฮอร์เบิร์ต คิลพิน ชายชาวอังกฤษที่เป็นทั้งโค้ชคนแรก และ ผู้เล่นคนสำคัญในช่วงแรกๆ ของสโมสร นอกจากคิลพินก็ยังมี อัลเฟรด เอ็ดเวิร์ดส์, ซามูเอล ริชาร์ด เดวีส์ และ เดวิด อัลลิสัน เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมก่อตั้งทีม ซึ่งไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมชื่อทีมมีคำว่าคริกเก็ตอยู่ด้วย เพราะในยุคแรกพวกเขาให้ความสำคัญกับกีฬาคริกเก็ตเช่นเดียวกันกับฟุตบอล 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/ROVQjjMvvcykxOtQHICTG/64eb86a1658de5f24171fb8b84fedc51/Milan-derby-match-history-SPACEBAR-Photo01
Photo: AFP
อย่างไรก็ตามหลังจากก่อตั้งทีมมาได้ประมาณ 9 ปี การเมืองของอิตาลีในเวลานั้นก็ส่งผลให้เกิดความแตกแยกภายในสโมสร จากสาเหตุของเรื่อง ‘ชาตินิยม’ ที่ส่งผลไปถึงการจัดการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ โดยสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีมีการแข่งขันทั้งหมดสองรายการคือ Federal Championship ที่ผู้เล่นต่างชาติสามารถลงเล่นได้ กับ Italian Championship ที่มีแค่ผู้เล่นอิตาลีเท่านั้นที่เล่นได้ 

นั่นทำให้กลุ่มผู้บริหารที่ไม่พอใจได้รวมตัวการก่อตั้งสโมสรใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ฟุตบอล คลับ อินเตอร์นาซิอองนาล ซึ่งคำว่า อินเตอร์นาซิอองนาล ในภาษาอังกฤษก็คือความหมายของคำว่า อินเตอร์เนชันแนล ที่แปลว่า นานาชาติ ทำให้แนวคิดของทีมแตกต่างจากฝั่งมิลานอย่างชัดเจน คือการยอมรับให้มีผู้เล่นต่างชาติลงเล่นในทีมได้ 

นอกจากนี้ปัญหาเกี่ยวกับการเมืองของทั้งสองทีมอีกอย่างก็คือความแตกต่างทาง ‘ชนชั้น’ ที่ทางฝั่ง เอซี มิลาน มีแฟนบอลส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงานไปจนถึงกลุ่มคนรากหญ้า ตรงกันข้ามกับ อินเตอร์ มิลาน ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนชนชั้นสูง แฟนบอลส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะ  

ผลของความแตกต่างในหลายๆ เรื่องทั้งชาตินิยม, อุดมการณ์ในการทำทีม รวมไปถึงเรื่องของสถานะทางสังคม ทำให้การแข่งขัน มิลาน ดาร์บี้ ในช่วงแรกๆ เปรียบเสมือนการต่อสู้ในทางการเมืองไปด้วยโดยปริยาย ซึ่งในปัจจุบันเรื่องราวเหล่านี้ก็ค่อนข้างเบาบางลงไปมากตามกาลเวลา จนแทบไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว 

มิลาน ดาร์บี้ 2004/05 ที่มาของหนึ่งในภาพที่เป็น ‘ไอคอนิค’ มากที่สุดในโลกฟุตบอล 

หนึ่งในดาร์บี้แมตช์เมืองมิลานที่ ‘เดือดพล่าน’ สุดตั้งแต่แข่งขันกันมาคงหนีไม่พ้นการเจอกันของทั้งคู่ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2004/05 เลกที่สอง ที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเต็มไปหมด โดยในเลกแรก ฝั่งมิลานที่เป็นเจ้าบ้านเอาชนะไปได้ก่อน 2-0 ในขณะที่เลกสอง มิลานก็ยังเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน 1-0 ทำให้ผลรวมตอนนั้นทีม ‘ปีศาจแดงดำ’ กุมความได้เปรียบไว้มากถึง 3 ประตู
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4xCgBpwn4GfZAEuxei7ogo/54e4ce6662381e9b77f05ad624d9de1d/Milan-derby-match-history-SPACEBAR-Photo02
Photo: AFP
แต่ในนัดที่สองแฟนบอลของอินเตอร์ต่างหงุดหงิดกับคำตัดสินของ มาร์คุส เมิร์ก ผู้ตัดสินชาวเยอรมัน ในหลายๆ จังหวะ และมันก็ทะลุจะเดือดในช็อตที่ประตูของ เอสเตบัน กัมบิอาสโซ่ ถูกปฏิเสธโดยผู้ตัดสิน ทำให้แฟนๆ ‘งูใหญ่’ ทนไม่ไหวอีกต่อไป ระดมปาพลุแฟลร์นับร้อยแท่งลงมายังพื้นสนามซาน ซิโร่ 

แถมพลุแฟลร์ที่โยนลงมายังดันไปโดนหัวไหล่ของ ดีด้า ผู้รักษาประตูชาวบราซิล ของเอซี มิลาน จนได้รับบาดเจ็บ ต้องเปลี่ยนตัวออกไปด้วย ซึ่งถึงแม้กรรมการจะเป่าหยุดเกมเพื่อเคลียร์เหตุการณ์แล้ว แต่หลังกลับมาแข่งขันต่อได้แค่แปปเดียว แฟนบอลก็ยังโยนพลุแฟลร์ลงมาไม่หยุด จนสุดท้าย มาร์คุส เมิร์ก ต้องยุติการแข่งขันไปเลย โดยนัดนั้นอินเตอร์ถูกปรับแพ้ 3-0 พร้อมกับถูกปรับเงิน 132,000 ปอนด์ และต้องลงเล่นเกมยุโรปแบบไร้แฟนบอลไปอีก 4 นัด 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4JrPkr52HFUD0w4GO3XYET/d05ddf67575d6db7c8ebf6f01d4c884e/Milan-derby-match-history-SPACEBAR-Photo03
Photo: AFP
โดยท่ามกลางพลุแฟลร์ที่ถูกปาลงมาในสนามจนกลายเป็นทะเลเพลิงในวันนั้น ได้เกิดภาพถ่ายที่เป็น ‘ไอคอนิค’ มากที่สุดภาพหนึ่งในโลกฟุตบอล นั่นก็คือภาพ มาร์โก มาเตรัซซี่ ปราการหลังของอินเตอร์ ยืนเท้าไหล่ รุย คอสต้า กองกลางตัวเก่งของมิลาน ยืนมองภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายในสนาม 

ซึ่งใครที่ติดตามฟุตบอลในช่วงนั้นน่าจะรู้กันดีว่า ทั้งสองคนนี้ค่อนข้างมีสไตล์ที่แตกต่างกันพอสมควร ทางฝั่งกองหลังชาวอิตาลี มีวิธีการเล่นที่ดุดัน มีความโหดนิดๆ ในขณะที่ฝั่งกองกลางชาวโปรตุกีส เป็นเหมือนกับศิลปินในโลกฟุตบอล เล่นด้วยจินตนาการ ทำให้การมายืนเคียงข้างกันของทั้งคู่ในภาพนั้นยิ่งเพิ่มสตอรี่เข้าไปอีก 

“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แค่ทำให้อินเตอร์เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่มันส่งผลไปถึงทั้งเมืองมิลาน ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในมิลาน ดาร์บี้เลย เราต้องโฟกัสกับฟุตบอลกันให้มากกว่านี้” คำพูดที่แสดงถึงความผิดหวังของ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือมิลานในเวลานั้น 

นี่ก็คือเรื่องราวและจุดเริ่มต้นความดุเดือดในอดีตของ ‘มิลาน ดาร์บี้’ ดาร์บี้แมตช์ที่เดือดที่สุดนัดหนึ่งในโลกฟุตบอล ที่ถึงแม้ในปัจจุบันเรื่องราวทางการเมืองต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นจะเบาบางลงไปมากแล้วก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่ทั้งคู่เจอกัน มันก็ยังเป็นเหมือนศึกแห่งศักดิ์ศรี สงครามบนฟลอร์หญ้าที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังจากเกมการแข่งขัน และบรรยากาศในสนามอยู่ดี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์