เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศกันแล้วสำหรับศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2024 ที่ประเทศเยอรมนี หลังจากลงสนามฟาดฟันกันมาเป็นเวลาเกือบ 1 เดือนเต็มๆ ตอนนี้เราก็ได้คู่ชิงชนะเลิศแล้วเรียบร้อย เป็นการพบกันระหว่าง ‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน และ ‘สิงโตคำราม’ ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งฝั่งหนึ่งก็เป็นทีมที่ฟอร์มร้อนแรงมาตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนต์ ส่วนอีกทีมก็เป็นถึงดีกรีเต็ง 1 ของปีนี้ ถือว่าสมศักดิ์ศรีด้วยกันทั้งคู่ไม่ว่าใครจะคว้าโทรฟี่ในวันนี้ไปครอง และเราก็มีพรีวิวของทั้งคู่มาฝากกันด้วย ถ้าพร้อมแล้ว ติดตามได้เลยครับ

สเปน
เริ่มกันที่ขุนพล ‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน ที่เป็นหนึ่งในทีมที่น่าจับตามองมากๆ ทีมหนึ่งตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ด้วยฟอร์มสุดร้อนแรงนับตั้งแต่ได้ หลุยส์ เด ลา ฟูเอนเต้ เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ ซึ่งเขาก็มีดีกรีเคยพาทีมชาติชุดเล็กเป็นแชมป์ยูโรมาแล้วเหมือนกัน นอกจากนี้เขายังเปลี่ยนสไตล์การเล่นของสเปนไปอย่างชัดเจน จากทีมที่เน้นครองบอลใส่คู่แข่งเป็นหลัก กลายเป็นทีมที่ไม่ต้องครองบอลมากเหมือนเก่า แต่เน้นที่การบุกโจมตีใส่คู่แข่งแบบมีคุณภาพ และผลลัพธ์มันก็เห็นชัดเจน
โดยนับแค่ในยูโรหนนี้ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาคว้าชัย 3 นัดรวด ยิงคู่แข่งไป 5 ประตู แถมไม่เสียซักประตู และมีสไตล์การเล่นที่สนุก บุกเรื่อยๆ ดูแล้วไม่มีเบื่อ จากนั้นก็รักษาฟอร์มโหดต่อเนื่องถล่ม ทีมชาติจอร์เจีย 4-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อด้วยการเฉือนเจ้าภาพอย่าง ทีมชาติเยอรมนี ไปแบบสุดดราม่าในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 และล่าสุดกับการเก็บชัยเหนือ ทีมชาติฝรั่งเศส 2-1 ในรอบตัดเชือก ทะลุเข้าชิงได้สำเร็จตามที่หลายๆ ฝ่ายคาดกันไว้

ส่วนผู้เล่น 11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามคืนนี้ก็น่าจะยึดชุดเดิมที่ทำได้ดีเป็นหลัก โดย เด ลา ฟูเอนเต้ จะได้ ดานี่ การ์บาฆาล และ โรบิน เลอ นอร์กมองด์ กลับมาประจำการในแผงหลัง ในขณะที่ตัวหลักคนอื่นๆ อย่าง ฟาเบียน รุยซ์, โรดรี้, ดานี่ โอลโม่, นิโก้ วิลเลียมส์, อัลวาโร่ โมราต้า น่าจะลงครบ และแน่นอนว่าดาวรุ่งที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้อย่าง ลามีน ยามาล ก็เตรียมลงลุ้นสร้างสถิติในเกมนี้อย่างแน่นอน

อังกฤษ
ต่อกันที่คู่แข่งของ ทีมชาติสเปน อย่างทัพ ‘สิงโตคำราม’ ทีมชาติอังกฤษ ทีมเต็ง 1 ของศึกฟุตบอล ยูโร 2024 กันบ้าง แม้ว่าพวกเขาจะถูกยกให้เป็นเต็ง 1 จากหลายที่ แต่ฟอร์มการเล่นของพวกเขาตลอดทัวร์นาเมนต์นี้ กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แทบทุกนัด ถึงสไตล์การเล่นที่ดูแล้วชวนง่วง ทั้งที่ทีมมีนักเตะระดับ ‘เวิล์ดคลาส’ อยู่เต็มทีม แต่กุนซือใหญ่อย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต กลับทำทีมน่าเบื่อเสียอย่างนั้น
โดยฟอร์มในรอบแบ่งกลุ่มก็เป็นการตอกย้ำประเด็นนี้ทุกอย่าง นัดแรกชนะ ทีมชาติเซอร์เบีย 1-0 แต่หลังจากขึ้นนำแล้ว พวกเขาก็เน้นรับเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกันกับนัดต่อมาที่นำ ทีมชาติเดนมาร์ก 1-0 แล้วก็ลงไปเน้นเกมรับจนโดนตีเสมอ และจบลงที่ 1-1 ส่วนนัดสุดท้ายแม้จะปูพรมบุกใส่ ทีมชาติสโลวีเนีย แต่ด้วยเกมรุกที่ขาดความหลากหลายและเฉียบคมก็เจ๊ากันไปแบบโนสกอร์ ซึ่งในรอบน็อคเอาท์ก็ต้องบอกว่าพวกเขาเป็นทีมที่มีโชคสุดๆ เพราะได้ลงไปอยู่ในสายล่างที่ไม่ต้องปะทะกับทีมใหญ่ๆ อย่าง แต่กว่าจะเข้ารอบมาได้ก็ลากเลือดเหมือนกัน เกมแรกชนะ ทีมชาติสโลวาเกีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่วนรอบ 8 ทีม ยิงยาวกันไปถึงจุดโทษกว่าจะผ่าน ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ และรอบตัดเชือกที่ต้องลุ้นจนถึงทดเจ็บถึงจะเบียดชนะ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ สุดท้ายก็เข้ารอบชิงฯ ได้สำเร็จ

สำหรับผู้เล่น 11 คนที่จะลงสนาม เชื่อว่าทาง ‘อัจฉริยะร้อยแผน’ อย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต น่าจะใช้ชุดเก่งเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็น ไคล์ วอล์คเกอร์, เดแคลน ไรซ์, คอบบี้ เมนู, บูกาโย่ ซาก้า, ฟิล โฟเด้น, จู๊ด เบลลิงแฮม และ แฮร์รี่ เคน น่าจะออกสตาร์ทครบหมด และเชื่อว่าพวกเขาจะยืนหยัดในแผนกองหลัง 3 คนเหมือนเดิม
สุดท้ายมารอลุ้นกันว่าจะเป็น ความดุดันร้อนแรงของ ทีมชาติสเปน หรือ ความรัดกุมผสมโชคเล็กน้อยของ ทีมชาติอังกฤษ ที่สมหวังใน ยูโร 2024 ตี 2 คืนนี้ รู้กันครับ