สำหรับกลุ่ม B ก็จะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีชาติใหญ่ๆ อยู่ในกลุ่มพร้อมตัดแต้มกันอยู่ถึง 3 ทีม นั่นก็คือ ทีมชาติสเปน, ทีมชาติอิตาลี และ ทีมชาติโครเอเชีย ส่วนอีกหนึ่งทีมคือ ทีมชาติแอลเบเนีย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีไม้เด็ดอะไรมาต่อกรกับบรรดาทีมใหญ่ในกลุ่มหรือเปล่า และในวันนี้เราจะขอมาพรีวิวสองทีมที่ดูจะมีลุ้นเข้ารอบมากที่สุดนั่นก็คือทัพ ‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน และขุนพล ‘อัซซูรี่’ ทีมชาติอิตาลี แบบคร่าวๆ มาให้ทุกคนอ่านกันด้วย ติดตามได้เลยครับ

Spain (Group B)
ทีมชาติสเปน เจ้าของตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย เมื่อปี 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นหนึ่งในทีมที่เป็นแชมป์ยูโรมากที่สุด 3 สมัย เทียบเท่ากับทีมชาติเยอรมนี เจ้าภาพที่ได้ 3 สมัยเท่ากัน โดยทางฝั่งสเปนเคยได้เมื่อปี 1964, 2008 และสมัยล่าสุดเมื่อปี 2012 ที่ประเทศโปแลนด์และยูเครน ส่วนผลงานล่าสุดในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างฟุตบอลโลก 2022 พวกเขาก็ถือว่าทำผลงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะไปพลาดท่าแพ้จุดโทษทีมชาติโมร็อคโก ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย มาคราวนี้พวกเขาเลยมาพร้อมกับเฮดโค้ชคนใหม่อย่าง Luis de la Fuente ที่น่าจะคุ้นเคยกับระบบฟุตบอลสเปนเป็นอย่างดี เพราะคุมทีมชุดเล็กมาเกือบหมดแล้ว ไล่ตั้งแต่ U19, U21 และ U23 รอบนี้โค้ชวัย 62 ปี ประกาศรายชื่อ 26 คนออกมาแล้วเรียบร้อย มีทั้งนักเตะเก๋าๆ และนักเตะเลือดใหม่อย่างเช่น Dani Carvajal, Rodri, Jesús Navas, Álvaro Morata, Fermín López, Nico Williams และ Lamine Yamal เป็นต้น ในขณะที่สไตล์บอลพวกเขาก็ยังเล่นแบบเน้นครองบอลขึงคู่ต่อสู้เหมือนเดิม มารอดูกันว่าขุนพล ‘กระทิงดุ’ เลือดผสมชุดนี้จะไปได้ไกลขนาดไหน
Nickname – La Roja (The Red One)
FIFA Ranking – 8
UEFA European Championship Appearances – 11 Appearances
Best Performance – Champions (1964, 2008, 2012)
Coach – Luis de la Fuente (Spain)
Goalkeepers – David Raya, Álex Remiro, Unai Simón
Defenders – Robin Le Normand, Daniel Vivian, Álex Grimaldo, Marc Cucurella, Dani Carvajal, Aymeric Laporte, Nacho
Midfielders –Mikel Merino, Fabián Ruiz, Fermín López, Álex Baena, Martín Zubimendi, Pedri, Rodri, Dani Olmo, Ferran Torres, Jesús Navas
Forwards – Álvaro Morata (C), Ayoze Pérez, Nico Williams, Lamine Yamal, Mikel Oyarzabal, Joselu

Italy (Group B)
ส่วนอีกหนึ่งทีมแข็งในกลุ่ม B ก็คือขุนพล ‘อัซซูรี่’ ทีมชาติอิตาลี เจ้าของตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัย และยังเป็นแชมป์ยูโรหนล่าสุดเมื่อปี 2020 อีกด้วย โดยในครั้งนี้พวกเขาต้องมาป้องกันตำแหน่งแชมป์ให้ได้ หากจะครองความยิ่งใหญ่ในทวีปยุโรปต่อไป และแก้ไขแผลใจที่พลาดท่าไปเล่นฟุตบอลโลกสองสมัยติด เพราะพวกเขาดันไปพลิกล็อคถล่มโลกด้วยการแพ้ ทีมชาติมาซิโดเนียเหนือ ในเพลย์ออฟรอบรองชนะเลิศ อดไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ แบบน่าเหลือเชื่อ หนนี้พวกเขามาพร้อมกับกุนซือคนใหม่อย่าง Luciano Spalletti ที่มีประสบการณ์มากมายในวงการฟุตบอลอิตาลี โดยก่อนมาคุมทีมชาติ เขาก็พานาโปลีประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว ในขณะที่ขุมกำลังอิตาลีชุดนี้ เมื่อมองภาพรวมอาจจะเป็นรองทีมอื่นๆ แต่ก็ต้องบอกว่าประมาทไม่ได้เหมือนกัน เพราะผู้เล่นฟอร์มดีๆ ก็มีหลายคนไม่ว่าจะเป็น Federico Dimarco, Nicolò Barella, Gianluigi Donnarumma และ Federico Chiesa เป็นต้น ซึ่งคาดว่าผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม ถ้าไม่มีพลาดกันเองน่าจะผ่านเข้ารอบได้ไม่ยาก ลุ้นก็แต่ว่าจะไปต่อได้ถึงไหนเท่านั้นเอง
Nickname – Gli Azzurri (The Blues)
FIFA Ranking – 9
UEFA European Championship Appearances – 10 Appearances
Best Performance – Champions (1968, 2020)
Coach – Luciano Spalletti (Italy)
Goalkeepers – Gianluigi Donnarumma (C), Guglielmo Vicario, Alex Meret
Defenders – Giovanni Di Lorenzo, Federico Dimarco, Alessandro Buongiorno, Gianluca Mancini, Matteo Darmian, Riccardo Calafiori, Raoul Bellanova, Alessandro Bastoni, Andrea Cambiaso, Federico Gatti
Midfielders – Davide Frattesi, Jorginho, Lorenzo Pellegrini, Bryan Cristante, Nicolò Fagioli, Michael Folorunsho, Nicolò Barella
Forwards – Mateo Retegui, Giacomo Raspadori, Federico Chiesa, Mattia Zaccagni, Stephan El Shaarawy, Gianluca Scamacca