คว้าแชมป์อาเซียนคัพ, ตะลุมบอนกับอินโดนีเซียในนัดชิงซีเกมส์, มูลค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกร่วงกราวเหลือ 50 ล้าน, ทีมชาติชุดตามสภาพบุกแพ้ จอร์เจีย 8-0 แบบที่ใครไม่อาย ผมอาย, เรื่องโค้ชอีรุงตุงนัง ที่สุดท้ายก็จบด้วยแยกทาง ‘มาโน่’ แล้วตั้ง ‘อิชิอิ’
ทั้งหมดที่เราบอกมานี้ คือการเดินทางของวงการฟุตบอลไทยในขวบปี 2023 ที่เริ่มต้นด้วยความสุขของการเฉลิมฉลอง แต่กราฟค่อยๆ ดิ่งลงจนแทบจม ถึงขั้นที่แฟนบอลต่างพากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการทำงานที่ดูจะล้มเหลวในแง่การบริหารจัดการเรื่องสำคัญ และวันนี้ Spacebar VIBE ก็เลยจะมาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนอ่านเพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่า ก่อนจะเริ่มศักราชใหม่ในปี 2024
เปิดปีด้วยความชื่นมื่นกับการเป็นจ้าวอาเซียนสมัยที่ 7
ประเดิมปี 2023 กันด้วยความสุขกับการแข่งขันรายการเอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็คทริค หรือ อาเซียนคัพ 2022 ที่ทัพ ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย ของ มาโน่ โพลกิ้ง โชว์ฟอร์มหรูตั้งแต่ในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการลงเล่น 4 นัด เอาชนะไป 3 นัด เสมอแค่นัดเดียว มีแต้มเท่าอันดับสองของกลุ่มอย่างทีมชาติอินโดนีเซีย แต่เข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม เพราะลูกได้เสียดีกว่า จากนั้นก็เข้าไปเจอกับทีมชาติมาเลเซีย ในรอบรองชนะเลิศ โดยนัดแรกเราพลาดท่าบุกไปพ่ายที่บูกิต จาลิล ก่อน 1-0 แต่ก็กลับมาเอาคืนได้ในบ้าน 3-0 จบสองนัดด้วยสกอร์ 3-1 ผ่านเข้ารอบชิงฯ ไปเจอกับทัพ ‘ดาวทอง’ ทีมชาติเวียดนาม คู่ปรับตลอดกาลของเรา
ซึ่งในนัดแรกไทยบุกไปเยือนเวียดนามก่อน ผลจบลงด้วยการเสมอกันไป 2-2 จากนั้นกลับมาเล่นในบ้านที่สนามธรรมศาสตร์ แล้วก็ได้ ‘โก๋อุ้ม’ ธีราทร บุญมาทัน ที่เป็นคนซัดประตูโทนในเกมนั้น เฉือนชนะไป 1-0 ทำให้จบด้วยสกอร์รวมที่ทีมชาติไทยชนะ 3-2 คว้าแชมป์อาเซียนสมัยที่ 7 มาครองได้อย่างใจหวัง

ซัดกันนัว ไม่รู้บอลหรือมวยในนัดชิงซีเกมส์ 2023
ต่อมาเป็นเหตุการณ์ในการแข่งขันฟุตบอลชายของมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นขุนพลช้างศึกรุ่นเล็ก อายุไม่เกิน 23 ปี (U23) ที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของ ‘โค้ชหระ’ อิสระ ศรีทะโร เป็นกุนซือใหญ่ โดยตลอดทัวร์นาเมนต์จนถึงรอบชิงชนะเลิศ เราไม่แพ้ใครเลย แฟนๆ ก็ยิ่งเชื่อกันว่ายังไงก็คว้าเหรียญทองได้แน่ เพราะคู่ชิงที่เราคิดว่าจะเจออย่าง ทีมชาติเวียดนาม ดันไม่มาตามนัด เพราะไปพลาดแพ้ให้ ทีมชาติอินโดนีเซีย
แต่ไปๆ มาๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่งานง่ายของทัพช้างศึกจูเนียร์เท่าไหร่ เมื่อจบเกมในช่วงเวลาปกติไปด้วยผลเสมอ 2-2 ทำให้ต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษเพื่อตัดสินหาผู้แพ้ชนะ ซึ่งเกมก็ดำเนินมาเรื่อยๆ ตามปกติ จนกระทั่งอินโดนีเซียยิงแซงเป็น 3-2 เหตุการณ์ข้างสนามก็แปรเปลี่ยนจากสนามหญ้าให้กลายเป็นเวทีผ้าใบทันที เมื่อสตาฟฟ์ของทั้งสองทีมทะเลาะกัน ลามไปจนถึงผู้เล่น จนส่งผลไปถึงเกมในสนาม และทีมชาติไทยจบแมตช์ด้วยการเหลือผู้เล่นแค่ 7 คน จากการโดนไล่ออกไป 3 คน และนักเตะเจ็บไป 1 คน สุดท้ายแพ้ไปเละเทะ 5-2 ได้แค่เหรียญเงิน แถมโดนวิจารณ์หนักในโลกออนไลน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ทำไงไม่รู้จากลิขสิทธิ์ลีก 1,000 ล้าน เหลือแค่ 50 ล้าน!!!
อีกเรื่องที่สร้างความงุนงงฉงนใจให้กับแฟนบอล เกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการของสมาคมฟุตบอลฯ ก็คือเรื่องของมูลค่าลิขสิทธิ์ไทยลีก ฟุตบอลลีกสูงสุดของสยามประเทศ จากที่เคยมีมูลค่าสูงถึงหลัก 1,000 ล้านบาทต่อฤดูกาล ร่วงมาเหลือแค่ 50 ล้านบาทต่อฤดูกาล หายไปมากถึง 20 เท่า แถมตอนนั้นบอลจะเปิดฤดูกาลอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครยื่นซื้อ
เกิดความวุ่นวายจนถึงขั้นเสนอทางออกให้แยกไทยลีก 1 ออกมาตั้งบริษัทแยกเพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ของตัวเอง ตัดขาดความเกี่ยวข้องจากสมาคมฯ ไปเลย เหมือนอย่างพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ แต่เรื่องนี้ก็ยังต้องรอศึกษารายละเอียดกันต่อไปก่อน ซึ่งสุดท้ายเรื่องลิขสิทธิ์ก็จบที่บทสรุปของการได้ 3 แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง AIS PLAY, TrueVisions และ 3BB รับหน้าที่ถ่ายทอดสดผ่านช่องทางของตัวเอง รวมไปถึงการมอบสิทธิ์ให้แต่ละทีมในลีก เอาสัญญาณไปถ่ายทอดสดในช่องทางของตัวเอง เพื่อสร้างรายได้ให้สโมสรตามเงื่อนไขที่สมาคมกำหนด

ช้างศึกชุดอ๊อดแอด!!! บุกแพ้จอร์เจียเละ 8-0
แพ้ญี่ปุ่น 4-0 นายกสมาคมฟุตบอลฯ คนปัจจุบันบอกว่า ‘ใครไม่อาย ผมอาย’ แต่แพ้จอร์เจีย 8-0 คราวนี้แฟนบอล ‘อาย’ ครับ ถามว่าทำไมต้องอาย ก็เพราะการบริหารจัดการที่มันดูจะพังไปหมด เพราะเอาจริงๆ การทัวร์ยุโรปเจอกับ ทีมชาติจอร์เจีย และ ทีมชาติเอสโตเนีย ถูกคอนเฟิร์มมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถ้านับเวลาดีๆ คือมีเวลาเตรียมตัวตั้ง ’10 เดือน’ เต็มๆ แต่ไม่รู้ใช้เวลาไปตรงส่วนไหน การจัดการโปรแกรมลีกกับทีมชาติมันเลยมึนไปหมด เพราะสโมสรใหญ่ๆ ก็ไม่ปล่อยนักเตะออกมา เนื่องจากจะมีเวลาไม่พอกับการเตรียมทีมเล่นรายการ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก สุดท้ายผลการแข่งขันมันก็ออกมาตามสภาพ ไม่มีใครโทษนักบอลและสตาฟฟ์ แต่คำถามคือทำไมเราถึงจัดตารางโปรแกรมของสโมสรกับทีมชาติให้มันพอดีซึ่งกันและกันไม่ได้

เรื่องงงๆ ของโค้ช 2 คน
เรื่องสุดท้ายนี้เริ่มต้นมาจากการที่ทาง ‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ ออกมาประกาศลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยสมัยหน้า พร้อมได้รับการสนับสนุนจาก เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด โดยทางฝั่งหัวเรือใหญ่ของทัพปราสาทสายฟ้าบอกว่าจะโยก มาซาทาดะ อิชิอิ มาเป็นประธานเทคนิคทีมชาติไทย ซึ่งแฟนบอลก็คาดเดากันอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ เพราะทั้งคู่คือโค้ชอาชีพ จะทำงานร่วมกันได้ยังไง อิชิอิ อยากรับตำแหน่งนี้จริงไหม
แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อหลังจบศึก คิงส์คัพ ได้ไม่กี่วัน อิชิอิ ขอลาออกจากทุกตำแหน่งในไทย โบกมือลาแล้วบินกลับญี่ปุ่นทันที เนื่องจากทิศทางของทีมชาติไทยยังสนับสนุน มาโน่ โพลกิ้ง อยู่ พอเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าตำแหน่งที่อิชิอิคาดหวังคงจะไม่ใช่ประธานเทคนิค แต่คือเฮดโค้ชทีมชาติไทย พอมันดูไม่ชัดเจน เขาก็ไม่อยู่ดีกว่า
แต่สุดท้าย มาโน่ ก็ไม่สามารถเป็นคนที่ใช่ได้จริงๆ เมื่อประเดิมสนามในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกด้วยการพ่าย ทีมชาติจีน คาราชมังฯ 1-2 ในสภาพนักเตะ ‘ฟูลทีม’ แม้นัดที่สองจะบุกไปชนะ ทีมชาติสิงคโปร์ 3-1 ก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว เพราะ ‘มาดามแป้ง’ ตัดสินใจประกาศแยกทางกับ มาโน่ เนื่องจากผลงานในบอลโลก รอบคัดเลือกนี้ ไม่เป็นไปตามเป้า และตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งตรงนี้มันก็ดูงงๆ เหมือนกันว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่เลือก อิชิอิ ซะตั้งแต่แรก เพราะสุดท้ายมันก็วนกลับมาลูปนี้แบบที่แฟนบอลวาดหวังไว้อยู่ดี