ขณะนี้ไม่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่กำลังเผชิญกับการกลับมาระบาดของโควิดในฤดูหนาว
รายงานจาก Daily Mail ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอังกฤษ เพิ่มขึ้น 13% ซึ่งสูงกว่าที่เคยบันทึกไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน และถือว่าเป็นยอดรวยมรายวันสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.
ขณะที่ตัวเลขจากสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) ยังแสดงจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ในวันพุธ (7 ธ.ค.) มีผู้ติดเชื้อ 5,501 ราย เพิ่มขึ้น 11% จากเดิม 4,964 รายที่บันทึกไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน
ตัวเลขดังกล่าวหมายถึงผู้ป่วยทุกรายที่ติดเชื้อ และไม่แยกความแตกต่างระหว่างผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยสาเหตุอื่นๆ แต่มีผลตรวจเป็นบวกเมื่อมาถึงหรือขณะอยู่ในการดูแล
คิต เยตส์ นักคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบาธ และเป็นสมาชิกของ Independent Sage แนะนำว่า ในช่วงฤดูหนาวนี้ ชาวอังกฤษควรกลับมาสวมใส่หน้ากากอนามัย โดยอ้างถึงบทความที่ระบุถึง เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่สวมหน้ากากอนามัยในกรุงเวียนนาเนื่องจาก การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เยตส์ได้เรียกร้องให้ผู้นำของอังกฤษปฏิบัติตามด้วย เขาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า ‘เราจะได้เห็นความเป็นผู้นำแบบนี้ (หรือแม้แต่แบบใดก็ตาม) จากนักการเมืองในสหราชอาณาจักรของเราในฤดูหนาวนี้หรือไม่?’
รายงานจาก Daily Mail ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอังกฤษ เพิ่มขึ้น 13% ซึ่งสูงกว่าที่เคยบันทึกไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน และถือว่าเป็นยอดรวยมรายวันสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.
ขณะที่ตัวเลขจากสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) ยังแสดงจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ในวันพุธ (7 ธ.ค.) มีผู้ติดเชื้อ 5,501 ราย เพิ่มขึ้น 11% จากเดิม 4,964 รายที่บันทึกไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน
ตัวเลขดังกล่าวหมายถึงผู้ป่วยทุกรายที่ติดเชื้อ และไม่แยกความแตกต่างระหว่างผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยสาเหตุอื่นๆ แต่มีผลตรวจเป็นบวกเมื่อมาถึงหรือขณะอยู่ในการดูแล
คิต เยตส์ นักคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบาธ และเป็นสมาชิกของ Independent Sage แนะนำว่า ในช่วงฤดูหนาวนี้ ชาวอังกฤษควรกลับมาสวมใส่หน้ากากอนามัย โดยอ้างถึงบทความที่ระบุถึง เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่สวมหน้ากากอนามัยในกรุงเวียนนาเนื่องจาก การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เยตส์ได้เรียกร้องให้ผู้นำของอังกฤษปฏิบัติตามด้วย เขาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า ‘เราจะได้เห็นความเป็นผู้นำแบบนี้ (หรือแม้แต่แบบใดก็ตาม) จากนักการเมืองในสหราชอาณาจักรของเราในฤดูหนาวนี้หรือไม่?’

ส่วนในสหรัฐฯ ก็เป็นๆปในทิศทางเดียวกับอังกฤษ ตามข้อมูลที่ติดตามโดย The New York Times ระบุว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้น 56% ขณะที่การรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 28% ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน
จากสถานที่ทดสอบกว่า 1,300 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่ติดตามระดับไวรัสในน้ำเน่าเสีย 65% รายงานว่าเพิ่มขึ้น และ 38% พบแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนธ.ค.ปี 2021
ตามการคาดการณ์ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) การรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลโควิด-19 รายวันจะเพิ่มขึ้นทั่วประเทศในช่วง 4 สัปดาห์ข้างหน้า โดยจะมีการรายงานการรับผู้ป่วยใหม่ 3,100 รายถึง 14,300 รายต่อวันในวันที่ 30 ธ.ค.
ข้อมูลจาก CDC ระบุว่า จาก 15 กลุ่มแบบจำลอง ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธ.ค. ผู้ป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลใหม่เฉลี่ย 7 วันของประเทศอยู่ที่ 4,864 ราย เพิ่มขึ้นจาก 4,419 รายในสัปดาห์ก่อน
ทว่าสถานการณ์ในสหรัฐฯ อาจน่ากังวลมากกว่าในอังกฤษ เมื่อโควิดกลับมาระบาดพร้อมๆ กับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาวนี้
The Atlantic รายงานข่าวร้ายสำหรับโรงพยาบาลในสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ และผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือ RSV ทำให้สถานพยาบาลหลายแห่งมีผู้ป่วยล้นมือ แน่นอนว่าสถานการณ์จะแย่ลงกว่านี้หากการแพร่ระบาดของโควิดทวีคูณขึ้น
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรนำหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ในห้องเรียนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Strep A (เชื้อก่อโรคสำคัญของโรคคอหอยอักเสบ) ในเด็ก
ขณะที่สหรัฐฯ ประเทศที่ยกเลิกมาตรการสวมหน้ากากอนามัยมาเป็นเวลาก่อนหน้านานแล้ว มีการเรียกร้องโดยเจ้าหน้าที่ขอให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยเพื่อรับมือกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่และ RSV
จากสถานที่ทดสอบกว่า 1,300 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่ติดตามระดับไวรัสในน้ำเน่าเสีย 65% รายงานว่าเพิ่มขึ้น และ 38% พบแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนธ.ค.ปี 2021
ตามการคาดการณ์ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) การรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลโควิด-19 รายวันจะเพิ่มขึ้นทั่วประเทศในช่วง 4 สัปดาห์ข้างหน้า โดยจะมีการรายงานการรับผู้ป่วยใหม่ 3,100 รายถึง 14,300 รายต่อวันในวันที่ 30 ธ.ค.
ข้อมูลจาก CDC ระบุว่า จาก 15 กลุ่มแบบจำลอง ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธ.ค. ผู้ป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลใหม่เฉลี่ย 7 วันของประเทศอยู่ที่ 4,864 ราย เพิ่มขึ้นจาก 4,419 รายในสัปดาห์ก่อน
ทว่าสถานการณ์ในสหรัฐฯ อาจน่ากังวลมากกว่าในอังกฤษ เมื่อโควิดกลับมาระบาดพร้อมๆ กับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาวนี้
The Atlantic รายงานข่าวร้ายสำหรับโรงพยาบาลในสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ และผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือ RSV ทำให้สถานพยาบาลหลายแห่งมีผู้ป่วยล้นมือ แน่นอนว่าสถานการณ์จะแย่ลงกว่านี้หากการแพร่ระบาดของโควิดทวีคูณขึ้น
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรนำหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ในห้องเรียนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Strep A (เชื้อก่อโรคสำคัญของโรคคอหอยอักเสบ) ในเด็ก
ขณะที่สหรัฐฯ ประเทศที่ยกเลิกมาตรการสวมหน้ากากอนามัยมาเป็นเวลาก่อนหน้านานแล้ว มีการเรียกร้องโดยเจ้าหน้าที่ขอให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยเพื่อรับมือกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่และ RSV

ขณะที่สิ่งเดียวที่ผู้เชี่ยวชาญทราบอย่างแน่ชัดคือ จำนวนผู้ป่วยและการรักษาตัวในโรงพยาบาลกำลังเพิ่มขึ้น ทว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังเห็นพ้องต้องกันว่าคลื่นการแพร่ระบาดดังกล่าวจะรุนแรงน้อยกว่าปีที่แล้ว
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวด้วยว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าคลื่นการระบาดนี้จะขยายใหญ่ไปแค่ไหน และจะอยู่นานเพียงใด และจะเป็นระดับประเทศหรือระดับภูมิภาค ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังลังเลที่จะเรียกการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในปัจจุบันว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังใหม่อยู่
“ฉันไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พอที่จะเรียกมันว่าคลื่น” ซูซาน ไคลน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยมินนิโซตาในมินนิอาโปลิสกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ คาดการณ์ว่าเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง เมื่อรวมกับปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันที่ลดลงและการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่น้อยลง จะเร่งการแพร่กระจายของไวรัส กระตุ้นให้มีผู้ป่วยและการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านเก็รกกอรี โปแลนด์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของการตอบสนองของวัคซีน กล่าวกับ The Atlantic ว่า ผมคิดว่ามันจะดำเนินต่อไป เนื่องจากมันเหมือนว่าเราเทเชื้อเพลิงลงบนกองไฟมากขึ้นในช่วงการเดินทางช่วงคริสต์มาสที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวด้วยว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าคลื่นการระบาดนี้จะขยายใหญ่ไปแค่ไหน และจะอยู่นานเพียงใด และจะเป็นระดับประเทศหรือระดับภูมิภาค ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังลังเลที่จะเรียกการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในปัจจุบันว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังใหม่อยู่
“ฉันไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พอที่จะเรียกมันว่าคลื่น” ซูซาน ไคลน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยมินนิโซตาในมินนิอาโปลิสกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ คาดการณ์ว่าเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง เมื่อรวมกับปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันที่ลดลงและการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่น้อยลง จะเร่งการแพร่กระจายของไวรัส กระตุ้นให้มีผู้ป่วยและการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านเก็รกกอรี โปแลนด์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของการตอบสนองของวัคซีน กล่าวกับ The Atlantic ว่า ผมคิดว่ามันจะดำเนินต่อไป เนื่องจากมันเหมือนว่าเราเทเชื้อเพลิงลงบนกองไฟมากขึ้นในช่วงการเดินทางช่วงคริสต์มาสที่จะถึงนี้