What If ผู้หญิงไม่ต้องตั้งครรภ์ และคลอดลูกอีกต่อไป
‘การตั้งครรภ์’ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในขณะที่ผู้หญิงบางคนอาจมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับมัน ดังนั้นการตั้งครรภ์อีกครั้งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเธอจนกระทั่งในปัจจุบันได้มีแนวคิดเรื่อง ‘เอคโตเจเนซิส’ (คำว่า ‘Ectogenesis’ มาจากภาษากรีก ‘ecto’ แปลว่า ‘ - ภายนอก’ และ ‘เจเนซิส’ (genesis) หมายถึง- ‘กำเนิด’) หรือ ซึ่งก็คือ การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมเทียม หรือภายนอกร่างกาย) ของมนุษย์ ที่ล่าสุดแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง มันสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ แต่ยังอยู่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์เท่านั้น ทว่าคงอีกไม่นานนักที่อาจจะนำมาใช้จริง
สำนักข่าว BBC ระบุว่า การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในสาขานี้พัฒนาไปอย่างแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสามารถในการดูแลทารกที่ประสบภาวะคลอดก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม มีคำถามที่ตามมาว่า เราเข้าใกล้กับการสร้าง ‘มนุษย์’ ที่เกิดภายนอกร่างกายของมนุษย์ได้มากแค่ไหน?
แต่การพัฒนาเรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่ต้องการมีบุตรโดยที่ไม่ต้องตั้งครรภ์ อาจจะด้วยเหตุผลทางการแพทย์ หรืออื่นๆ ก็ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ดีทีเดียว
และหากสามารถพัฒนาจนเกิดขึ้นจริงได้ อนาคตอันใกล้เราอาจไม่ต้องเห็นผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือให้กำเนิดบุตรอีกต่อไป ผลกระทบทางสังคมที่ตามมาอาจส่งผลต่ออะไรบ้าง เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ และแนวคิดของการเป็น ‘แม่’ ผู้ให้กำเนิดคืออะไรหลังจากนี้?
มีหลายเสียงที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวคิดเอคโตเจเนซิส บ้างก็บอกว่าแนวคิดนี้ดีแค่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเป็น ‘แม่’ ได้จริงๆ บ้างก็บอกว่าดีสำหรับการตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 หรือ 3 ที่อาจจะช่วยบรรเทาความทรมานที่เคยประสบพบเจอจากลูกคนแรก บ้างก็พูดถึงประสบการณ์ที่สวยงามของการตั้งครรภ์ และไม่ต้องการให้การพัฒนานี้เกิดขึ้นจริงเพราะกลัวว่าความสวยงามเหล่านี้จะหายไป

จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากผู้หญิงไม่ต้องตั้งครรภ์..
เว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) เขียนถึงภาวะซึมเศร้าหลังคลอดไว้ว่า หลังคลอดอยู่ๆ คุณแม่อาจมีอารมณ์ที่รู้สึกดาวน์ หมดความสนใจ หรือกระตือรือร้นในกิจกรรมต่างๆ รู้สึกเบื่ออาหาร หรือไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ มีปัญหาเรื่องการคิด การตัดสินใจ หรือแม้กระทั่งรู้สึกไร้ค่า เมื่อเกิดอาการแบบนี้พร้อมกันเป็นระยะเวลานานเกิน 1 – 2 สัปดาห์ อาจหมายถึงภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจทำให้เราดูแลตัวเองและลูกได้ยาก ซึ่งภาวะซึมเศร้าก่อนตั้งครรภ์ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเช่นกัน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งของการแสดงความคิดเห็น ทำให้เราพบมุมมองใหม่ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะได้บ้างอย่างความเห็นของผู้ใช้เฟซบุ๊กคที่ชื่อว่า Meme Lettie ที่บอกว่า ‘ถ้าเธอไม่ท้อง เธออาจพลาดโอกาสทองของการแก้แค้นสามีไปเลยก็ได้นะ เช่น เราสามารถตบ (แบบแกล้งๆ) สามีของเราแบบไม่มีเหตุผลได้ โดยที่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ดังนั้น อย่าพลาดสิ่งนี้ไปเชียวล่ะสาวๆ’
ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ หรือฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป สามีของเราอาจจะเข้าใจและปล่อยผ่านโดยที่ไม่ตอบโต้อะไรก็ได้นะ 😛
‘ไม่ปวดหลัง’ หรือประสบปัญหาสุขภาพแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์
ใดๆ ในโลกล้วนปวดหลัง แต่กับหญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกปวดหลังมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะเธอต้องแบกน้ำหนักลูกในครรภ์เป็นระยะเวลา 9 เดือน (ซึ่งแน่นอนว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกๆ เดือน) นอกจากนี้ ยังมีภาวะหลายอย่างที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ ต้องประสบพบเจอที่หลายๆ ครั้งมันส่งผลถึงสุขภาพของคนเป็นแม่ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่แค่อาการปวดหลังเพียงอย่างเดียว ยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือในคุณแม่บางคนที่มีโรคประจำตัวอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อลูกในครรภ์ด้วยลดการเกิด ‘ภาวะซึมเศร้า’ หลังคลอด
1 ใน 6 ของคุณแม่หลังคลอดจะประสบกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Maternity Blue) ที่เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงหลังคลอด ทำให้มีอาการซึมเศร้า เสียใจ หดหู่โดยไม่มีสาเหตุเว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) เขียนถึงภาวะซึมเศร้าหลังคลอดไว้ว่า หลังคลอดอยู่ๆ คุณแม่อาจมีอารมณ์ที่รู้สึกดาวน์ หมดความสนใจ หรือกระตือรือร้นในกิจกรรมต่างๆ รู้สึกเบื่ออาหาร หรือไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ มีปัญหาเรื่องการคิด การตัดสินใจ หรือแม้กระทั่งรู้สึกไร้ค่า เมื่อเกิดอาการแบบนี้พร้อมกันเป็นระยะเวลานานเกิน 1 – 2 สัปดาห์ อาจหมายถึงภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจทำให้เราดูแลตัวเองและลูกได้ยาก ซึ่งภาวะซึมเศร้าก่อนตั้งครรภ์ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเช่นกัน
เพิ่ม ‘โอกาส’ ให้ผู้หญิงมากขึ้น
หากวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาจนเกิดเป็นการตั้งครรภ์ภายนอกได้ เราอาจจะได้เห็นภาพที่ผู้หญิงหลายๆ คนใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานมากขึ้นได้ทำอะไรที่อยากทำมากขึ้นแม้ว่าตอนนั้นกำลังจะมีลูก ไม่ต้องคอยระวังลูกในท้อง ไม่ต้องแบกน้ำหนักให้ปวดหลัง ไม่ต้องกังวลเรื่องหุ่น และอาหารการกินที่ส่งผลถึงลูก หรือแม้แต่ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปขณะที่อีกด้านหนึ่งของการแสดงความคิดเห็น ทำให้เราพบมุมมองใหม่ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะได้บ้างอย่างความเห็นของผู้ใช้เฟซบุ๊กคที่ชื่อว่า Meme Lettie ที่บอกว่า ‘ถ้าเธอไม่ท้อง เธออาจพลาดโอกาสทองของการแก้แค้นสามีไปเลยก็ได้นะ เช่น เราสามารถตบ (แบบแกล้งๆ) สามีของเราแบบไม่มีเหตุผลได้ โดยที่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ดังนั้น อย่าพลาดสิ่งนี้ไปเชียวล่ะสาวๆ’
ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ หรือฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป สามีของเราอาจจะเข้าใจและปล่อยผ่านโดยที่ไม่ตอบโต้อะไรก็ได้นะ 😛