ภารกิจสู่ดวงจันทร์ ทำไม NASA ต้องการกลับไปเยือนอีกครั้ง?

2 ธ.ค. 2565 - 06:49

  • มีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้ NASA ส่งนักบินอวกาศกลับสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี และหนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นก็คือ ความปรารถนาที่จะให้มนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร

  • จรวด SLS ของยาน ‘Artemis I’ เป็นรุ่นปรับปรุงของจรวด Saturn V ในยาน ‘Apollo11’ ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่กว่าและมีกำลังมหาศาลมากกว่าถึง 15%

Why-NASA-wants-to-go-back-to-the-moon-Apollo11-Artemis1-SPACEBAR-Thumbnail
ย้อนกลับไปในสงครามเย็นช่วงระหว่างทศวรรษ 1950-1990 อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าห้วงเวลานี้เป็นการแข่งขันด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ 2 ฝ่ายระหว่างโลกประชาธิปไตยอย่างสหรัฐฯ และโลกคอมมิวนิสต์อย่างสหภาพโซเวียต ไม่ว่าจะเป็นการตั้งองค์กรหาแนวร่วมทางทหาร (นาโต vs วอร์ซอ) การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ การรบผ่านสงครามตัวแทน (สงครามเกาหลี, สงครามเวียดนาม เป็นต้น) การพัฒนาแผนเศรษฐกิจ การโฆษณาชวนเชื่อ การคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ 

สำหรับโครงการสำรวจอวกาศก็เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันด้วยเช่นกัน ซึ่งในปี 1957 กลายเป็นโซเวียตที่สามารถส่ง Sputnik 1 ดาวเทียมสำรวจวงโคจรโลกดวงแรกขึ้นไปก่อน ตามด้วย Sputnik 2 พร้อม ‘laika’ สุนัขอวกาศตัวแรกของโลก จากนั้นโซเวียตก็ทดลองส่งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ขึ้นไปอีกครั้งในปี 1960 และพบว่าพวกมันรอดกลับมา ขณะที่สหรัฐฯ ก็ไม่น้อยหน้าส่ง ‘Ham’ ลิงชิมแปนซีตัวแรกของโลกขึ้นไปในปี 1961 และรอดกลับมาเหมือนกัน 

แต่ทว่าในปีเดียวกัน (1961) โซเวียตประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการส่ง ‘ยูรี กาการิน’ มนุษย์คนแรกขึ้นไปบนอวกาศได้สำเร็จ และนั่นทำให้สหรัฐฯ พยายามส่งยานอวกาศขึ้นไปหลายต่อหลายครั้งตลอด 8 ปีแต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังเป็นรองโซเวียตอยู่ จนในปี 1969 สหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จในการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ซึ่งนับว่าเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ของวงการดาราศาสตร์ทีเดียว


ทำไมต้องเป็นภารกิจเยือนดวงจันทร์?

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2H0p3RRN72SCnq1kwIImjv/af3219474b7de69a92f582beee5db0d6/Why-NASA-wants-to-go-back-to-the-moon-Apollo11-Artemis1-SPACEBAR-Photo01
Photo: Gregg Newton / AFP

‘Artemis I’ ยานภารกิจไร้คนขับสำรวจดวงจันทร์ของ NASA ที่เพิ่งปล่อยจากศูนย์อวกาศเคนเนดีในฟลอริดาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมาย คือ สำรวจอวกาศเป็นเวลา 25 วันซึ่งมีกำหนดกลับโลกในวันที่ 11 ธันวาคม และตั้งเป้าว่าปี 2024 จะส่งนักบินอวกาศ 4 คนในภารกิจ ‘Artemis 2’ ขึ้นไปสำรวจรอบดวงจันทร์ ต่อมาในปี 2025 จะส่งนักบินอวกาศ 2 คนไปเหยียบบนดวงจันทร์อีกครั้ง  


ทั้งนี้ ยาน ‘Artemis’ เป็นหนึ่งในภารกิจที่ NASA ใช้เวลาในการวางแผนและเตรียมตัวค่อนข้างยาวนานถึง 53 ปี คำถามก็คือ ทำไมต้องเป็นภารกิจเยือนดวงจันทร์ล่ะ? 

มีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้ NASA ส่งนักบินอวกาศกลับสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี และหนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นก็คือ ความปรารถนาอันยาวนานที่จะให้มนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร โดยภารกิจ Artemis จะทดสอบเทคโนโลยีและลอจิสติกส์ที่จำเป็นในการดำเนินการดังกล่าว 

เคนเนธ ชาง นักข่าวด้านวิทยาศาสตร์ของ The New York Times ให้ความเห็นว่า “ถ้าคุณเชื่อว่าอนาคตของมนุษยชาติกำลังแผ่ขยายไปทั่วระบบสุริยะ จุดหมายแรกก็ต้องเป็นดวงจันทร์…ถ้าคุณคิดไปไม่ถึงที่นั่น คุณก็ไปไม่ถึงดาวอังคารอย่างแน่นอน” 

ภารกิจสู่ดวงจันทร์นับว่ามีคุณค่าต่อวงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ก้อนหินที่เก็บรวบรวมในภารกิจก่อนหน้านี้เผยให้เห็นต้นกำเนิดของดวงจันทร์ ซึ่งน่าจะก่อตัวขึ้นจากเศษซากหลังจากวัตถุขนาดเท่าดาวอังคารพุ่งชนโลกเมื่อกว่า 4 พันล้านปีก่อน 

ในภารกิจ Artemis นั้น NASA สนใจการศึกษาน้ำแข็งในหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาเชื่อว่า น้ำแข็งและลักษณะของน้ำแข็งอาจทำให้รู้ที่มาของระบบสุริยะได้ นอกจากนี้ น้ำแข็งยังสามารถนำมาใช้สร้างฐานถาวรบนดวงจันทร์ ทั้งยังสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำดื่ม ออกซิเจน หรือเชื้อเพลิงยานอวกาศได้อีกด้วย


ก้าวต่อไปของ NASA

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/26bgh0rUc0ozbdKTvLqCV0/fa6495dc983a8a01789b9da147ad8177/Why-NASA-wants-to-go-back-to-the-moon-Apollo11-Artemis1-SPACEBAR-Photo02
Photo: Wikipedia / NASA
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ากว่ายานภารกิจ ‘Artemis 1’ มีกำหนดปล่อยครั้งแรกช่วงปลายเดือนสิงหาคม แต่หลังจากนั้นก็ต้องเลื่อนการปล่อยอยู่หลายต่อหลายครั้งเนื่องจากเจอปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องและสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ทำเอาสาวกคนรักอวกาศต้องรอเก้อ จนท้ายที่สุดก็ได้ฤกษ์ปล่อยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  

จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าเป้าหมายสูงสุดของยานภารกิจ คือ การส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์อีกครั้งให้ได้ภายในปี 2025 ภายใต้เงื่อนไขที่ว่านักบินอวกาศที่ส่งขึ้นไปจะต้องเป็นผู้หญิงและคนผิวสีที่ไปเยือนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก  

หากทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยดี ก้าวต่อไปของ NASA ก็คือ การสร้างด่านหน้าถาวรบนดวงจันทร์และในวงโคจรของมัน เพื่อใช้ทำการสำรวจดวงจันทร์ในอนาคตอันใกล้
 

ทำไมต้องส่งยานภารกิจไปตอนนี้?

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/fPqnYf2oL0t3lZxhSjd5T/df0423dd3aa85474b86efbeedf0ae6a9/Why-NASA-wants-to-go-back-to-the-moon-Apollo11-Artemis1-SPACEBAR-Photo03
Photo: Wikipedia / NASA
ย้อนกลับไปในปี 1969 นีล อาร์มสตรง และ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศผู้ได้ปักธงชาติอเมริกันบนดวงจันทร์ และกลายเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้ไปเหยียบที่นั่น นอกจากนี้ คำพูดของเขายังปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์อีกด้วย “นั่นคือก้าวเล็กๆ ของมนุษย์ ซึ่งเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ” 

หลายทศวรรษต่อมา NASA ร่วมมือกับบริษัทหลายแห่งอย่าง ‘SpaceX’ ของ Elon Musk และ ‘Blue Origin’ ของ Jeff Bezos ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนการเดินทางในอวกาศให้กลายเป็นองค์กรเชิงพาณิชย์ ทั้งยังมีความหวังว่าจะได้เดินทางกลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้งในภารกิจ ‘Artemis I’  

แอนดรูว์ สคูร์ ผู้จัดการการระบบ payload ของยานอวกาศ กล่าวว่า “เราสร้างจากสิ่งที่เราเรียนรู้ในอพอลโล…อุปกรณ์บางอย่างที่เราใช้นั้น เคยสร้างในจรวด Saturn สำหรับยานภารกิจอพอลโลแล้ว ดังนั้น เราจึงมีความเชื่อมโยงกับยานสำรวจ ‘Artemis I’ ” 

“สำหรับยานภารกิจ ‘Apollo’ นั้นเราใช้จรวด Saturn V ตลอดโครงการอพอลโลทั้งหมด ซึ่งภารกิจครั้งสุดท้ายก็คือปี 1972 ส่วนภารกิจ ‘Artemis’ เราใช้จรวด SLS หรือ Space Launch System โดยเป็นรุ่นปรับปรุงร่วมสมัยของ Saturn V และใช้เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ขณะที่ SLS มีกำลังมหาศาลมากกว่า Saturn ถึง 15%” 

แต่ทว่า NASA กลับถูกกระตุ้นด้วยการแข่งขันจากประเทศอื่นๆ อย่างจีนที่นำยานหุ่นยนต์ไปลงจอดบนดวงจันทร์ถึง 3 ครั้ง ด้าน บิล เนลสัน ผู้บริหาร NASA กล่าวกับ The Times ว่า “เรากังวลว่าพวกเขาจะพูดว่า นี่คือโซนพิเศษของเรา คุณอยู่นอกเขตนี้…และใช่ นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราเฝ้าดูอยู่”
 

ทำไม NASA ใช้เวลานานในการกลับไปดวงจันทร์อีกครั้ง?

เดอร์รอล เนลล์ โฆษกของ NASA กล่าวว่า “คำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการบริหารของประธานาธิบดีและลำดับความสำคัญของชาติด้วย”

“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความทุ่มเทในการกลับไปสำรวจห้วงอวกาศเพิ่มเติมได้รับการต่ออายุใหม่และมันคือหนทางของเราในการเข้าสู่ห้วงอวกาศและไม่เพียงแค่สำรวจดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงดาวอังคารด้วย” เขากล่าว
 

ข้อแตกต่างระหว่างยานภารกิจ ‘Apollo’ และ ‘Artemis’

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2n40tvR32zeXzIOxTXY0LU/56517684abeaf316eff237cccb73d846/Why-NASA-wants-to-go-back-to-the-moon-Apollo11-Artemis1-SPACEBAR-Photo04
Photo: Handout / NASA / AFP
50 กว่าปีมาแล้วนับตั้งแต่ชาวอเมริกันขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ และตอนนี้ NASA กำลังกลับเข้าสู่วงโคจรดวงจันทร์อีกครั้งในภารกิจระยะยาวของยาน ‘Artemis I’ ปัจจุบันมีกำหนดสำรวจอวกาศเป็นเวลา 25 วัน ซึ่งอยู่ในขั้นแรกของภารกิจ  

ชื่อยานภารกิจ ‘Artemis’ เป็นความตั้งใจของ NASA ที่อยากตั้งให้สอดคล้องกับยาน ‘Apollo’ ซึ่งเป็นพี่น้องฝาแฝดตามตำนานเทพเจ้ากรีก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจอวกาศ การค้นพบพื้นที่ใหม่บนดวงจันทร์ รวมถึงการลงจอดบนดาวอังคารในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตลอดจนการส่งนักบินอวกาศหญิงและนักบินอวกาศผิวสีคนแรกขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ภายในปี 2025 ซึ่งถ้าหากประสบความสำเร็จ ยานภารกิจ ‘Artemis’ จะเป็นยานอวกาศที่ลงจอดบนดวงจันทร์ครั้งแรกของ NASA นับตั้งแต่ ‘Apollo17’ ในปี 1971 ในขณะที่ ‘Apollo’ มีเป้าหมายเดียว คือ การส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบบนผิวดวงจันทร์และมีชีวิตรอดกลับมายังโลก 

หากพูดถึงความแตกต่าง ก็คงจะเป็นเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของยานอวกาศและเทคนิคที่ล้ำสมัยมากกว่ายาน ‘Apollo’ แน่นอนว่าโซนพื้นที่ใช้สอยในยานอวกาศของ ‘Artemis’ มีมากกว่าถึง 50% ทำให้มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับลูกเรือและเสบียง ในขณะที่ ‘Apollo’ มีลูกเรือเพียง 3 คน ซึ่งเดินทางในอวกาศได้นานถึง 14 วัน แต่ ‘Artemis’ จะมีลูกเรือ 4 คนและเดินทางได้นานถึง 21 วัน 

ส่วนความแตกต่างด้านอื่นๆ ระหว่างยานภารกิจ ‘Artemis’ และ ‘Apollo’ ได้แก่ คอมพิวเตอร์เที่ยวบิน วัสดุผสมชนิดพิเศษ ชิ้นส่วนพิมพ์ 3 มิติ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และแผงป้องกันความร้อน 

ทั้งนี้ พบว่า การลงจอดและเวลาที่ใช้ในการลงจอดของยาน ‘Artemis’ และ ‘Apollo' มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยด้วยโดรนเพียงตัวเดียวและร่มชูชีพหลัก 2 ตัวในกรณีฉุกเฉิน แต่ข้อแตกต่างที่สำคัญก็ คือ จรวด SLS ของ Artemis มีมวลใหญ่กว่า และโมดูลลูกเรือก็หนักประมาณ 23,000 ปอนด์ ในขณะที่ Apollo หนักเพียง 12,000 ปอนด์เท่านั้น 

นอกจากนี้ SLS ยังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ RS-25 ซึ่งใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนราว 4 เครื่องและกลายเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก โดยสร้างแรงขับเคลื่อนได้มากกว่าจรวด Saturn V ของ Apollo ถึง 15% 

อย่างไรก็ดี ภารกิจการกลับไปสู่ดวงจันทร์อีกครั้งนับเป็นก้าวสำคัญของ NASA และมวลมนุษยชาติอย่างมาก ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศแบบก้าวกระโดด ใครจะไปรู้ว่า ‘ก้าวเล็กๆ ในวันนั้น’ ของ นีล อาร์มสตรองและทีม จะสร้างแรงผลักดันและแรงบันดาลใจจนเกิดภารกิจ ‘Artemis’ ขึ้นมา ซึ่งหากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เตรียมการไว้ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จก้าวสำคัญอย่างประเมินค่าไม่ได้ของมนุษยชาติ
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6gYql6VsTc0TnaJpX5NpzQ/9ac6fef0db200e2bd9deba4c46e17896/Info-____________________

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์