มีสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศตุรกีซึ่งมีไอระเหยแปลกๆ ออกมาจากพื้นดิน ซึ่งชาวกรีก-โรมันโบราณใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าแห่งยมโลก ซึ่งสถานที่ดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ประตูพลูโตมรณะที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 โลก’
ประตูพลูโตเป็นตัวอย่างที่ดีของ พลูโตเนียน (ploutonion) ซึ่งเป็นวัดที่อุทิศให้กับเทพเจ้าพลูโต (ชื่อแต่เดิมคือ ฮาเดส (Hades) แต่ในท้ายสุดก็มีชื่อที่มีความหมายเหมือนยมโลก) มันถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวอิตาลี ในเส้นทางของน้ำพุร้อน ใกล้เมืองปามุคคาเล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกีในปี 2013
ตามแหล่งประวัติศาสตร์ ประตูสู่นรกแห่งนี้เป็นที่รู้กันว่าตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในเฮราโปลิส (Hierapolis) ซึ่งก่อตั้งในปี 190 ก่อนคริสตศักราชโดย อูเมเนสที่ 2 (Eumenes II) ราชาแห่งเพอกามอน (Pergamon) เมืองนี้เป็นสถานที่มีชีวิตชีวาซึ่งได้รับการเฉลิมฉลองในฐานะศูนย์กลางแห่งการรักษา เนื่องจากแพทย์เชื่อว่าน้ำพุร้อนที่ไหลออกมามีคุณสมบัติในการรักษา สามารถรักษาผู้ป่วยและบรรเทาผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังได้ และในที่สุดเมืองนี้ก็กลายเป็น ‘ของขวัญ’ ให้กับสาธารณรัฐโรมันหลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ อธาลิด (Attalid) แห่งเพอกามอน ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในปี 133 ก่อนคริสตศักราช
แม้ว่าเฮอราโปลิส จะมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ 1 ในภายหลัง แต่ก่อนหน้านี้วิหารพลูโตยังคงเป็นสถานที่ที่คนโบราณสามารถติดต่อกับเทพเจ้าแห่งยมโลก
ประตูพลูโตเป็นตัวอย่างที่ดีของ พลูโตเนียน (ploutonion) ซึ่งเป็นวัดที่อุทิศให้กับเทพเจ้าพลูโต (ชื่อแต่เดิมคือ ฮาเดส (Hades) แต่ในท้ายสุดก็มีชื่อที่มีความหมายเหมือนยมโลก) มันถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวอิตาลี ในเส้นทางของน้ำพุร้อน ใกล้เมืองปามุคคาเล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกีในปี 2013
ตามแหล่งประวัติศาสตร์ ประตูสู่นรกแห่งนี้เป็นที่รู้กันว่าตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในเฮราโปลิส (Hierapolis) ซึ่งก่อตั้งในปี 190 ก่อนคริสตศักราชโดย อูเมเนสที่ 2 (Eumenes II) ราชาแห่งเพอกามอน (Pergamon) เมืองนี้เป็นสถานที่มีชีวิตชีวาซึ่งได้รับการเฉลิมฉลองในฐานะศูนย์กลางแห่งการรักษา เนื่องจากแพทย์เชื่อว่าน้ำพุร้อนที่ไหลออกมามีคุณสมบัติในการรักษา สามารถรักษาผู้ป่วยและบรรเทาผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังได้ และในที่สุดเมืองนี้ก็กลายเป็น ‘ของขวัญ’ ให้กับสาธารณรัฐโรมันหลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ อธาลิด (Attalid) แห่งเพอกามอน ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในปี 133 ก่อนคริสตศักราช
แม้ว่าเฮอราโปลิส จะมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ 1 ในภายหลัง แต่ก่อนหน้านี้วิหารพลูโตยังคงเป็นสถานที่ที่คนโบราณสามารถติดต่อกับเทพเจ้าแห่งยมโลก

วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีประตูและเวทีโดยรอบที่นำไปสู่ถ้ำ ห้ามใครเข้าไปภายใน แต่สามารถนั่งบนที่นั่งและเฝ้าดูกิจกรรมของนักบวชได้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ตัวแทนของพระเจ้าเหล่านี้จะนำวัวเข้าสู่สนามประลองและเฝ้าดูพวกมันดิ้นและตายอย่างรวดเร็ว ขณะที่นักบวชเองก็จะไม่ได้รับอันตราย
ผู้เยี่ยมชมสามารถมีส่วนร่วมในพิธีกรรมที่น่าสยดสยองนี้ได้ด้วยตนเอง พวกเขาสามารถซื้อสัตว์เล็กๆ หรือนก (รายได้จากค้าขายสัตว์เหล่านี้จะนำมาสนับสนุนค่าบำรุงรักษาวัด เฉกเช่นเดียวกับร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ในสมัยนี้) ซึ่งพวกเขาจะปล่อยสัตว์เข้าไปในลาน จากนั้นสัตว์จะยอมจำนนต่อลมหายใจแห่งความตาย ทิ้งให้ผู้ชมตกตะลึง
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ถูกบันทึกโดยสตราโบ นักภูมิศาสตร์ นักปรัชญา และนักเดินทางชาวกรีกผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขากล่าวว่า พื้นที่นี้ (ลานประลอง) เต็มไปด้วยไอหมอกที่หนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นพื้นดิน สัตว์ใดที่เข้าไปข้างในจะพบความตายทันที ฉันโยนนกกระจอกเข้าไป พวกมันหายใจเฮือกสุดท้าย และล้มลงทันที
ควันที่พวยพุ่งออกมาจากถ้ำยังคงแรง และหนาแน่นมากจนมีนกตกลงมาตายเป็นบางครั้ง หากพวกมันเข้าไปใกล้เกินไป
การเสียชีวิตเหล่านี้เกิดจาก ‘ก๊าซ’ ที่มากับน้ำร้อนที่ไหลออกมาจากรอยแยกภายในถ้ำ ในปี 2018 นักวิจัยได้ตรวจสอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภูเขาไฟ (CO2) และพบว่า ความเข้มข้นของมันในชั้นบรรยากาศแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ใกล้ปากถ้ำมากแค่ไหน ภายในสนามประลองที่มีการสังเวยสัตว์ ระดับ CO2 อาจอยู่ที่ใดก็ได้ระหว่าง 4% - 53% ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ใกล้ปากถ้ำแค่ไหน และความสูงเหนือระดับพื้นดิน
ยิ่งคุณอยู่ใกล้พื้นมากเท่าไหร่ หมอกควันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไอระเหยกลายเป็นควันพิษที่มองไม่เห็น ควันนั้นรุนแรงมากจนสามารถฆ่ามนุษย์ได้ภายใน 1 นาที หลังจากสัมผัสกับบริเวณที่ควันหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่พวกนักบวชสามารถอดทนต่อการประกอบพิธีกรรมได้ เพราะพวกเขายืนอยู่ในที่ที่สูงกว่าวัว และสัตว์อื่นๆ ที่พวกเขาบูชายัญ นั่นหมายความว่า ปากและจมูกของพวกนักบวชอยู่เหนือหมอกมรณะที่รวมกันด้านล่าง
ทั้งนี้ การสัมผัสกับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโดยรอบจะทำให้มีอาการประสาทหลอนจากควัน
ผู้เยี่ยมชมสามารถมีส่วนร่วมในพิธีกรรมที่น่าสยดสยองนี้ได้ด้วยตนเอง พวกเขาสามารถซื้อสัตว์เล็กๆ หรือนก (รายได้จากค้าขายสัตว์เหล่านี้จะนำมาสนับสนุนค่าบำรุงรักษาวัด เฉกเช่นเดียวกับร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ในสมัยนี้) ซึ่งพวกเขาจะปล่อยสัตว์เข้าไปในลาน จากนั้นสัตว์จะยอมจำนนต่อลมหายใจแห่งความตาย ทิ้งให้ผู้ชมตกตะลึง
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ถูกบันทึกโดยสตราโบ นักภูมิศาสตร์ นักปรัชญา และนักเดินทางชาวกรีกผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขากล่าวว่า พื้นที่นี้ (ลานประลอง) เต็มไปด้วยไอหมอกที่หนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นพื้นดิน สัตว์ใดที่เข้าไปข้างในจะพบความตายทันที ฉันโยนนกกระจอกเข้าไป พวกมันหายใจเฮือกสุดท้าย และล้มลงทันที
ควันที่พวยพุ่งออกมาจากถ้ำยังคงแรง และหนาแน่นมากจนมีนกตกลงมาตายเป็นบางครั้ง หากพวกมันเข้าไปใกล้เกินไป
การเสียชีวิตเหล่านี้เกิดจาก ‘ก๊าซ’ ที่มากับน้ำร้อนที่ไหลออกมาจากรอยแยกภายในถ้ำ ในปี 2018 นักวิจัยได้ตรวจสอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภูเขาไฟ (CO2) และพบว่า ความเข้มข้นของมันในชั้นบรรยากาศแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ใกล้ปากถ้ำมากแค่ไหน ภายในสนามประลองที่มีการสังเวยสัตว์ ระดับ CO2 อาจอยู่ที่ใดก็ได้ระหว่าง 4% - 53% ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ใกล้ปากถ้ำแค่ไหน และความสูงเหนือระดับพื้นดิน
ยิ่งคุณอยู่ใกล้พื้นมากเท่าไหร่ หมอกควันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไอระเหยกลายเป็นควันพิษที่มองไม่เห็น ควันนั้นรุนแรงมากจนสามารถฆ่ามนุษย์ได้ภายใน 1 นาที หลังจากสัมผัสกับบริเวณที่ควันหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่พวกนักบวชสามารถอดทนต่อการประกอบพิธีกรรมได้ เพราะพวกเขายืนอยู่ในที่ที่สูงกว่าวัว และสัตว์อื่นๆ ที่พวกเขาบูชายัญ นั่นหมายความว่า ปากและจมูกของพวกนักบวชอยู่เหนือหมอกมรณะที่รวมกันด้านล่าง
ทั้งนี้ การสัมผัสกับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโดยรอบจะทำให้มีอาการประสาทหลอนจากควัน