“ปี 2025 จะเป็นปีแรกสำหรับการขับขี่อัจฉริยะสำหรับทุกคน อีก 2-3 ปีข้างหน้ามันจะเป็นสิ่งที่ต้องมีเหมือนกับเข็มขัดนิรภัยหรือถุงลมนิรภัย” นี่คือคำประกาศของหวังฉวนฝู ประธาน BYD ที่ตั้งเป้าจะขายรถให้ได้ 6 ล้านคันในปีนี้
BYD เดินหน้ารุกตลาดหนักขึ้นท่ามกลางสงครามราคาที่สู้กันอย่างดุเดือด หลังจากที่ใช้กลยุทธ์ตัดราคาจนเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดจีนบ้านเกิดสำเร็จแล้ว ปีนี้ BYD กำลังจะใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้ในตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
BYD เพิ่งเข้าตลาดเกาหลีใต้เมื่อเดือนที่แล้ว โดยขณะนี้เกาหลีใต้ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่ราคารถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) ขนาดกลางของ BYD นั่นก็คือรุ่น Atto 3 ถูกที่สุดในโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่
ในเกาหลีใต้ BYD ต้องเผชิญกับคู่แข่งสายแข็งทั้ง Hyundai และ Kia ซึ่งกำลังเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมอุปกรณ์ไฮเทคทั้งคู่ ราคาของ Atto 3 สะท้อนว่า BYD อาจเจองานยาก เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มจะภักดีกับแบรนด์ที่คุ้นเคยมากกว่า
รุ่นต่อไปที่ BYD จะผลักดันคือ Sealion 7 ที่เปิดตัวในงานออโต้โชว์ที่ปารีสเมื่อปีที่แล้ว โดยขณะนี้ BYD ตั้งราคา Sealion 7 ถูกกว่า Atto 3 ในตลาดต่างประเทศหลายตลาด
กลยุทธ์การตัดราคานี้กำลังออกดอกออกผลให้ BYD ในตลาดต่างประเทศ อย่างในสิงคโปร์ BYD ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ขายดีที่สุด ส่วนในไทยก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้บริโภค เช่นเดียวกับในบราซิลที่เมื่อปีที่แล้ว BYD ขายรถยนต์โดยสารรและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ได้มากกว่าค่าย Ford ถึง 50%
ยุโรปเป็นตลาดที่ตียากหลังรถยนต์ไฟฟ้าต้องจ่ายภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 17% เมื่อปีที่แล้ว แต่ BYD ก็ยังเอาตัวรอดและครองตำแหน่งค่ายรถยนต์จีนที่มียอดขายสูงที่สุดในยุโรปในปี 2024 และเมื่อเดือนที่แล้วยังทำยอดขายแซงหน้า Tesla ในหลายประเทศทั้งสหราชอาณาจักร สเปน ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส
Bloomberg ระบุว่า BYD ต้องทำงานอย่างหนักในปีนี้หากต้องการบรรลุเป้าหมายเพิ่มยอดขายในต่างประเทศเป็น 2 เท่าจากปีก่อนเป็น 5-6 ล้านคัน
เราจึงเห็น BYD เริ่มสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ช่วยในการขับขี่ที่เรียกว่า “God’s Eye” ในรถยนต์ไฟฟ้าเกือบทุกรุ่นตั้งแต่ราคา 13,700 ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งในรุ่นราคาต่ำอย่าง Seagull โดยไม่คิดราคาเพิ่ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ BYD จะใส่ God’s Eye ให้เฉพาะรถรุ่นที่ราคามากกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปเท่านั้น
God’s Eye เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2023 ทำงานโดยอาศัยกล้องและเซ็นเซอร์เรดาร์เพื่อช่วยในการจอดรถแบบบริการรับจอดรถ (valet parking) ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ และระบบเบรกอัตโนมัติ ซึ่งใน BYD จะแบ่งเป็นระดับดังนี้
- God's Eye A หรือ DiPilot 600 สำหรับรถอัลตราพรีเมี่ยม มีเรดาร์ LiDAR 3 ตัวสนับสนุนฟังก์ชั่น navigation on autopilot ที่ขับขี่ในเมือง คาดว่าจะอยู่ในรุ่น Yangwang
- God’s Eye B หรือ DiPilot 300 มีเรดาร์ LiDAR 1 ตัวสนับสนุนฟังก์ชัน navigation on autopilot ที่ขับขี่บนทางหลวง คาดว่าจะอยู่ในรุ่น Denza รุ่นพรีเมี่ยมที่ราคาต่ำกว่า 200,000 หยวน
- God's Eye C หรือ DiPilot 100 รุ่นนี้จะไม่มี LiDAR และไม่สนับสนุนการขับขี่อัตโนมัติบนทางหลวงและฟีเจอร์ valet parking คาดว่าจะอยู่ในรถ BYD ซีรีส์ Dynasty และ Ocean ที่ราคาต่ำกว่า 100,000 หยวน รถรุ่นที่ถูกที่สุดคือ Seagull ราคา 69,800 หยวน

BYD กล้าจัดฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะนี้โดยไม่คิดเงินลูกค้าเพิ่ม ในขณะที่รถของคู่แข่งที่มีฟีเจอร์นี้สนนราคามากกว่า 150,000 หยวน และบางค่ายยังคิดเงินเพิ่มสำหรับฟีเจอร์นี้ด้วย ส่วน Tesla ซึ่งกำลังรอรัฐบาลจีนไฟเขียวให้ทดลองใช้ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Full Self-Driving คิดราคาฟีเจอร์นี้ในสหรัฐฯ เดือนละ 99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือจ่ายครั้งเดียวในราคา 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ผู้เชี่ยวชาญมองไปในทางเดียวกันว่าความเคลื่อนไหวนี้ของ BYD จะทำให้สงครามราคาดุเดือดขึ้นอีก
นักวิเคราะห์ของ Nomura เผยว่า BYD อาจเป็นค่ายรถยนต์จีนเจ้าแรกที่ให้ฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะในรถยนต์ที่ราคาต่ำกว่า 70,000 หยวน
“BYD เปลี่ยนกลยุทธ์การแข่งขันจากการลดราคาเมื่อปีที่แล้วมาป็นการอัปเกรดฟังก์ชั่นในปี 2025”
นักวิเคราะห์ของ Nomura
“นี่เป็นการลดราคาแบบไม่ลดราคาที่มาในรูปแบบของการอัปเกรดฟีเจอร์อัจฉริยะในรถยนต์ BYD เกือบทุกรุ่น”
เหล่ยสิง นักวิเคราะห์รถยนต์จีนอิสระ
“ตอนนี้ BYD ก้าวจาก 0 มาเป็น 1 ในการพัฒนาระบบช่วยขับขี่ ซึ่งจะกระตุ้นการยอมรับฟังก์ชั่น Navigation on Autopilot ในตลาดที่มีกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและนำมาสู่การอัปเกรดในผู้ใช้ปัจจุบัน”
นักวิเคราะห์ของ Jefferies
นอกจาก God’s Eye แล้ว BYD ยังมีแผนจะนำระบบซอฟต์แวร์ของ DeepSeek มาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ซึ่งแม้จะมีคนมองว่าจะช่วยให้ BYD ทิ้งคู่แข่งได้
ทว่า ไบรอัน ไทคังโค นักวิเคราะห์จาก Stansberry Research เตือนว่า การร่วมมือกับ DeepSeek “เพิ่มความน่าจะเป็นที่รถยนต์ของ BYD ต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการเข้าตลาดตะวันตกอย่างสหรัฐฯ เนื่องจากเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ”
Photo by BAY ISMOYO / AFP