เงินซื้อ ‘ความสุข’ ได้จริงหรอ?
คำถามที่ใครหลายคนมักจะตอบทันทีเลยว่า “ซื้อได้สิ” “ทำไมจะซื้อไม่ได้ล่ะ?” “แค่มีเงินเราก็ได้ทุกอย่างที่เราต้องการนะ” “อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป” “เงินสร้างโอกาสนะ” “แล้วมันจะซื้อความสุขไม่ได้ได้อย่างไร?”
จริงๆ แล้วมันมองได้หลายแง่มุมนะ ส่วนหนึ่งหากเรามีเงินใช้มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่บางบ้านก็ไม่ได้มีความสุขเพราะรวยหรอกนะ เพราะลูกหลานคอยจ้องแต่จะเอามรดก บางบ้านไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็ดีไป มหาเศรษฐีระดับโลกบางคนก็ใช่ว่าจะไม่ทุกข์ มีเงินเยอะมากก็เสียภาษีมากเหมือนกัน พวกเขาจึงหาวิธีที่จะจ่ายให้น้อยที่สุดแต่ก็ยังได้กำไรกลับมาด้วย หรือบางคนเอาเงินไปลงทุนในต่างประเทศในดินแดนภาษีต่ำอีกด้วย
หากมองแบบนามธรรมในด้านของความสัมพันธ์ไม่ว่าจะในรูปแบบเพื่อน แฟน หรือคนรัก หากขาดสะบั้นไปเงินก็ซื้อความสัมพันธ์แบบเดิมกลับมาไม่ได้ บางครอบครัวเลิกราหย่าร้างกันไปเงินก็ไม่สามารถสานรอยร้าวที่แตกให้กลับมาเหมือนเดิมด้วยเช่นเดียวกัน
ฉันใดก็ฉันนั้น งานวิจัยก็มีคำอธิบายในปริศนาเงินๆ ทองๆ นี้ด้วยเหมือนกันว่าจริงๆ แล้ว “เงินซื้อความสุขได้จริงหรือเปล่า?”
เงินมากขึ้น = สุขมากขึ้น?

งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในปี 2021 ของนักวิจัย ‘แมทธิว คิลลิงสเวิร์ธ’ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย กลับได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2010 ของ ‘แดเนียล คาฮ์นะมัน’ นักจิตวิทยา และ ‘แองกัส ดีตัน’ นักเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งงานวิจัยปี 2010 พบว่า “ความสุขในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้น แต่หากสูงกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.7 ล้านบาท) ความสุขก็จะลดลง” (***งานวิจัยทั้ง 2 ชิ้นนี้อิงกลุ่มเป้าหมายชาวอเมริกัน)
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “เงินสามารถซื้อความสุขได้เพียงจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น และจุดนั้นกล่าวกันว่ามีมูลค่าประมาณ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะนั้น”
“รายงานในปี 2010 พบว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับความสุข’ หรือ ‘สุขภาวะ’ นั้นหยุดที่ประมาณ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ” คอสตาดิน คูชเลฟ นักวิจัยด้านความสุขและผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าว
แต่ตอนนี้หนึ่งในนักวิจัยเหล่านั้นบอกว่าเขาคิดผิดเกี่ยวกับมูลค่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ และไม่ใช่เพียงเพราะว่าทุกอย่างมีราคาแพงมากในสมัยนี้ ทว่างานวิจัยในปี 2021 ก็พบว่า “ความสุขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากมีรายได้เกินกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ไม่มีหลักฐานว่าสูงถึงไหน”
อย่างไรก็ดี บทความที่คาฮ์นะมันเขียนร่วมกับคิลลิงส์เวิร์ธ และบาร์บารา เมลเลอร์สในปี 2023 สรุปว่า “งานวิจัยในปี 2010 กล่าวถึงระดับสูงสุดของรายได้นั้นเกินจริง เนื่องจากใช้วิธีการที่ไม่น่าเชื่อถือในการวัดความสุขจากการสำรวจของแกลลัพ (บริษัททำโพล / Gallup) ซึ่งเป็นการถามผู้เข้ารับการวิจัยเพียงแค่ว่าพวกเขาได้ยิ้มเมื่อวันก่อนหรือไม่”
สำหรับงานวิจัยในปี 2023 ได้ทำการสำรวจผู้ใหญ่ 33,391 คนที่มีอายุระหว่าง 18-65 ปีซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มีงานทำ และรายได้ครัวเรือนอย่างน้อย 10,000 ดอลลาร์ต่อปี (ราว 3.6 แสนบาท) ผู้เข้าร่วมจะถูกขอให้รายงานความรู้สึกของตัวเองโดยสุ่มช่วงเวลาในแต่ละวันผ่านแอปสมาร์ทโฟนที่พัฒนาโดยคิลลิงส์เวิร์ธที่เรียกว่า ‘Track Your Happiness’ เพื่อวัดระดับความสุข
“ข้อมูลดังกล่าวมาจากการส่งข้อความหาผู้คนซ้ำๆ ในช่วงเวลาสุ่มในชีวิตประจำวัน และถามถึงความสุขของพวกเขาในขณะนั้นแบบเรียลไทม์ว่า ‘ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร’ โดยให้คะแนนอารมณ์ของตัวเองในระดับตั้งแต่ "แย่มาก" ถึง "ดีมาก” คิลลิงส์เวิร์ธกล่าว
ผลการศึกษาได้ข้อสรุปสำคัญ 2 ประการ
- ประการแรก “ความสุขยังคงเพิ่มขึ้นพร้อมกับรายได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ‘การมีเงินมากขึ้นสามารถทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย’”
- ประการที่ 2 พบว่า “มีส่วนน้อยที่ ‘ไม่มีความสุข’ ประมาณ 20% ของผู้เข้าร่วม ซึ่งความทุกข์จะลดลงก็ต่อเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นถึงเกณฑ์ จากนั้นก็ไม่แสดงความคืบหน้าอีกต่อไป”…คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะประสบ ‘ความทุกข์ยาก’ เชิงลบ ซึ่งโดยทั่วไปไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยการหารายได้มากขึ้น รายงานดังกล่าวอ้างอิงตัวอย่างต่างๆ เช่น อกหัก การสูญเสีย หรือภาวะซึมเศร้า สำหรับพวกเขา ‘ความทุกข์’ อาจลดลงเมื่อรายได้ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.6 ล้านบาท) แต่ ‘เกินกว่านั้นน้อยมาก’ การศึกษาระบุ
“สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว รายได้ที่มากขึ้นทำให้พวกเขาความสุขที่มากขึ้น แต่ข้อยกเว้นก็คือ ‘คนที่มีฐานะทางการเงินดีแต่ไม่มีความสุข’ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณรวยและมีความทุกข์ เงินมากขึ้นก็ไม่ช่วยอะไร ส่วนคนอื่นๆ เงินที่มากขึ้นจะทำให้พวกเขามีความสุขที่สูงขึ้นในระดับที่แตกต่างกันบ้าง” คิลลิงส์เวิร์ธกล่าว
นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่า “เงินส่งผลต่อความสุขแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรายได้ ‘ในบรรดาผู้มีรายได้น้อย คนที่ไม่มีความสุขจะได้กำไร (เริ่มมีความสุข) จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่มีความสุขมากกว่า’ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จุดต่ำสุดของการกระจายความสุขจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าจุดสูงสุดในช่วงรายได้มาก” รายงานระบุ
‘รายได้’ VS ‘ความมั่งคั่ง’

‘รายได้’ คือ ‘สิ่งที่คุณได้รับต่อเดือนหรือต่อปีจากงาน ธุรกิจ หรือผลประโยชน์ของคุณ’
‘ความมั่งคั่ง’ เป็นผลมาจาก ‘การสะสมรายได้เมื่อเวลาผ่านไปที่คุณไม่ได้ใช้’
‘เหตุใดความมั่งคั่งจึงสำคัญต่อสมการความสุขมากกว่ารายได้?’
- โดยพื้นฐานแล้ว รายได้เป็นสิ่งชั่วคราว แต่ความมั่งคั่งเป็นสิ่งถาวร
- รายได้คือสิ่งที่คุณอาจสูญเสียได้ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะทำงานเก่งแค่ไหนหรือธุรกิจของคุณดำเนินไปได้ดีเพียงใด ก็เป็นไปได้เสมอที่เจ้านายของคุณจะตัดสินใจไล่คุณออกในวันพรุ่งนี้ หรือลูกค้าของคุณเลิกชอบผลิตภัณฑ์ของคุณแล้วคุณก็ล้มละลาย
นอกจากนี้ เพื่อที่จะมีรายได้นั้นต่อไป โดยปกติคุณจะต้องทำงานต่อไป และถ้าคุณไม่รักงานที่คุณทำ คุณก็จะเครียดกับงาน…นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแม้ว่าคุณจะมีรายได้สูง แต่ก็ยังมีความเครียดมากมายหากคุณต้องพึ่งพารายได้ในการดำรงชีวิต ดังนั้นรายได้ที่สูงขึ้นอาจไม่นำความสุขมาให้
ในทางตรงกันข้าม ความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครแย่งไปจากคุณได้ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ‘ความมั่งคั่ง’ ก็คือ การที่คุณทำงาน ทำธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการที่เรารัก นั่นคือ ‘ความสุข’ ส่วนเงินเดือนและรายได้เป็นผลพลอยได้ หรือ ‘กำไร’ เปรียบเทียบง่ายๆ เลยหากคุณไม่มีความสุขกับงานที่ทำ เครียดทุกวัน ต่อให้เงินเดือนเยอะแค่ไหน แล้วคุณจะมีความสุขได้ยังไงกัน?
“เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยกำหนดความสุข เงินไม่ใช่เคล็ดลับของความสุข แต่อาจช่วยได้นิดหน่อย”
— คิลลิงส์เวิร์ธกล่าว
หากถามว่า ‘เงินซื้อความสุขได้จริงเหรอ?’ คำตอบก็คือ ‘มันซื้อได้นะ’ ‘อาจจะซื้อได้แค่บางส่วน’ ‘แต่ไม่ได้ซื้อความสุขได้โดยตรง’ เพราะมันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต จะดีกว่าไหมถ้าเรามีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่เข้าใจ มีเพื่อนคอยให้กำลังใจ มีคนที่เรารักอยู่เคียงข้าง มีสัตว์เลี้ยงขนปุยที่สร้างรอยยิ้มให้เราตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้แหละที่ต่อให้มีเงินมากมายมหาศาลก็ซื้อมาไม่ได้ มันมีค่ามากกว่านั้น และสร้างความสุขให้เราจริงๆ
แล้วคุณล่ะ? คุณเห็นด้วยกับงานวิจัยชิ้นล่าสุดไหม? นิยามความสุขของคุณคืออะไรกัน? เงินสำคัญกับคุณมากแค่ไหน?