กองทัพอากาศจีนเตรียมเปิดตัวเครื่องบินรบล่องหนรุ่นใหม่ “J-35A” อย่างเป็นทางการ โดยให้ผู้สังเกตการณ์ได้เห็นเครื่องบินรบรุ่นนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นเครื่องบินรบที่หลายคนตั้งตารอคอย เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางทหารของประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วแล้ว ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางทหารของประเทศอีกด้วย
เจ้าหน้าที่ของจีนกล่าวว่า เครื่องบินรบรุ่นนี้ ซึ่งภาพของเครื่องบินรบดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ระหว่างการแถลงข่าวของกองทัพอากาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จะถูกนำไปแสดงที่งานแสดงทางอากาศในเมืองจูไห่ทางตอนใต้ของประเทศจีนในสัปดาห์หน้า
การพัฒนาเครื่องบินรุ่นดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนที่จะเทียบชั้นกับขีดความสามารถของเครื่องบินรบล่องหนของสหรัฐฯ เนื่องจากจีนกำลังเร่งพัฒนากองทัพให้ทันสมัยและแสดงแสนยานุภาพทางทหารในเอเชีย
รายงานจากสำนักข่าวในสังกัดกองทัพจีนระบุว่า J-35A เป็นเครื่องบินที่ “ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปฏิบัติการรบทางอากาศ และยังสามารถโจมตีจากอากาศสู่พื้นได้อีกด้วย” ตามที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งสื่อของรัฐบาลจีนได้อ้างอิงยังยังเผยว่า หากเครื่องบินรุ่นนี้เข้าประจำการ จีนจะเป็นประเทศที่สองต่อจากสหรัฐฯ ที่มีเครื่องบินรบล่องหนสองรุ่น โดยรุ่นแรกคือเครื่องบินรบ J-20 ซึ่งเริ่มเข้าประจำการในปี 2017
เครื่องบินรบล่องหนคือเครื่องบินที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงเรดาร์และเครื่องติดตามอื่นๆ เพื่อปฏิบัติภารกิจโดยไม่ถูกตรวจจับหรือดักฟัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของจีนกล่าวกับสื่อว่า J-35A น่าจะได้รับการออกแบบเป็นซีรีส์และอาจใช้เป็นเครื่องบินประจำเรือบรรทุกในอนาคต ซึ่งจะทำให้ “ความแข็งแกร่งโดยรวมของการสู้รบทางทะเลและทางอากาศของจีนดีขึ้นอย่างมาก”
J-35A ของจีนกับ F-35 ของสหรัฐฯ ใครเหนือกว่า?
ทั้ง J-35A ของจีนกับ F-35 ของสหรัฐฯ ถือเป็นเครื่องบินรบล่องหนที่ล้ำหน้าสูง โดยได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับการรบทางอากาศสมัยใหม่ แต่เครื่องบินทั้งสองรุ่นก็มีความแตกต่างกันโดยพื้นฐานในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่คุณลักษณะด้านประสิทธิภาพไปจนถึงระบบที่รวมอยู่ในเครื่องบินแต่ละลำ
คาดว่า J-35A จะมีความเร็วสูงสุดที่ 2 มัค ซึ่งเหนือกว่า F-35 ที่มีความเร็ว 1.6 มัค ข้อได้เปรียบด้านความเร็วนี้ทำให้ J-35A ได้เปรียบในสถานการณ์การรบบางประเภท โดยเฉพาะในการสกัดกั้นเป้าหมายด้วยความเร็วสูง
แต่ F-35 มีโดดเด่นในด้านอื่นๆ เช่น พิสัยการบินและความคล่องตัว ด้วยพิสัยการบินประมาณ 2,220 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับ 1,200 กิโลเมตรของ J-35A F-35 จึงเหมาะกับการปฏิบัติการระยะไกลและภารกิจโจมตีทางลึกมากกว่า เครื่องบินทั้งสองลำยังสามารถเติมน้ำมันได้ระหว่างบิน ทำให้ขยายพิสัยการบินได้ไกลขึ้น
ในแง่ของอาวุธ เครื่องบินทั้งสองลำได้รับการออกแบบมาให้บรรทุกอาวุธได้หลากหลายประเภท รวมถึงขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ ระเบิดนำวิถีแม่นยำ และขีปนาวุธต่อต้านเรือ J-35A สามารถบรรทุกน้ำหนักบรรทุกภายในเครื่องได้สูงสุด 7,000 กิโลกรัม ในขณะที่ F-35 สามารถบรรทุกได้ประมาณ 8,160 กิโลกรัม แม้ว่าเครื่องบินทั้งสองลำจะได้รับการออกแบบมาให้บรรทุกอาวุธภายในเครื่องเพื่อรักษาคุณสมบัติการพรางตัว แต่ F-35 ก็มีขีดความสามารถในการบรรทุกที่สูงกว่าเล็กน้อย ทำให้วางแผนภารกิจได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น
ทั้ง J-35A และ F-35 ต่างก็ติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบอากาศยานขั้นสูง ทำให้สามารถรับรู้สถานการณ์ได้ดีกว่า โดย J-35A มีเรดาร์ AESA ที่ผลิตในจีน ระบบค้นหาและติดตามด้วยอินฟราเรด [IRST] และระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รับรู้สถานการณ์ได้รอบด้าน ในขณะเดียวกัน F-35 ก็มีเรดาร์ AESA AN/APG-81 ระบบกระจายช่องรับแสง AN/AAQ-37 [DAS] และระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ AN/ASQ-239 ระบบเหล่านี้ทำให้ F-35 มีเซ็นเซอร์แบบผสานรวมที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้สามารถติดตามและกำหนดเป้าหมายเครื่องบินข้าศึก เป้าหมายภาคพื้นดิน และภัยคุกคามอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนได้
สรุปได้ว่า แม้ว่าทั้ง J-35A และ F-35 จะเน้นในเรื่องความสามารถในการพรางตัว ความคล่องตัว และระบบเซ็นเซอร์ขั้นสูง แต่ความแตกต่างก็สะท้อนให้เห็นถึงลำดับความสำคัญทางเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกันของจีนและสหรัฐฯ
เครื่องบิน J-35A ได้รับการออกแบบโดยเน้นที่การปฏิบัติการในภูมิภาค โดยเน้นที่ความเร็วและความคล่องตัว ในขณะที่ F-35 ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินรบเอนกประสงค์ โดยเน้นที่พิสัยการบิน การรวมเซ็นเซอร์ และการทำงานร่วมกันทั่วโลก เครื่องบินทั้งสองลำนี้มีความน่าเกรงขามในแบบของตัวเอง และเป็นตัวอย่างของอนาคตการรบทางอากาศของทั้งสองประเทศ
Photo by Xinhua
