ในรอบ 1 สัปดาห์นี้เกิดความปั่นป่วนขึ้นกับหุ้นของธนาคารทั่วโลกแล้วถึง 2 ครั้งติดๆ กัน ครั้งแรกหลังจากการล้มของธนาคารซิลิคอนแวลลีย์แบงก์ (SVB) ของสหรัฐฯ ตามด้วยความสั่นคลอนของธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) ซึ่งเป็นธนาคารหลักของยุโรป และเป็นธนาคารที่ใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์
อัมมาร์ อัล คูไดรี ประธาน SNB เผยกับสำนักข่าว Reuters ว่า เครดิต สวิส เป็น “ธนาคารที่แข็งแกร่งมาก” และไม่น่าจะต้องการเงินสดเพิ่มเติมหลังจากเพิ่งระดมเงินได้ 4,000 ล้านฟรังสวิสสำหรับแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี คอมเม้นต์เกี่ยวกับข้อจำกัดการถือหุ้นดังกล่าวทำให้บรรดานักลงทุนตกใจ เพราะห่วงว่าเงินสดฉุกเฉินจากบรรดานักลงทุนจากตะวันออกกลางจะถูกจำกัด
ความตื่นตระหนกเกี่ยวกับความอ่อนไหวของภาคการธนาคารทั่วโลกยังคงอยู่หลังจาก SVB ล้ม และความกลัวว่าจะเกิดปัญหาต่อเนื่องในกรณีของเครดิต สวิสซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 17 ของยุโรปในแง่ของสินทรัพย์นั้นมีมากกว่ากรณีของ SVB และถือว่ามีความสำคัญเชิงระบบต่อระบบการเงินโลก
เพียง 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมา เครดิต สวิส ต้องเผชิญหลายข้อหา อาทิ จารกรรมความลับทางการค้าของบริษัทหลังจ้างนักสืบมืออาชีพสอดแนมบรรดาผู้บริหารที่พ้นตำแหน่งไปแล้ว, คดีสินบนในการปล่อยเงินกู้ให้บริษัทรัฐวิสาหกิจในโมแซมบิกจนถูกทางการสหรัฐฯ และอังกฤษสั่งปรับ 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปี 2021
รวมถึงเจ็บหนักจากการล้มละลายของ Greensill Capital บริษัทด้านการเงินในอังกฤษซึ่งเครดิต สวิส เข้าไปลงทุนราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐและของ Archegos Capital ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เครดิต สวิส ยังตกที่นั่งลำบากหลังจากบรรดาสื่อใหญ่จากทั่วโลกเปิดเผยรายงานสืบสวนสอบสวนระดับโลก (Suisse Secrets) ที่เปิดโปงด้านมืดของธนาคารสวิสฯ เมื่อปีที่แล้วที่พบว่า ธนาคารเครดิต สวิส ให้บริการลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ฟอกเงิน คอร์รัปชัน และอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีเงินเกี่ยวข้องกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปีเดียวกันพนักงานอัยการของสวิตเซอร์แลนด์ยังพบว่าธนาคารเครดิต สวิส มีความผิดจากการช่วยฟอกเงินในนามของมาเฟียบัลแกเรีย แม้ว่าเครดิต สวิสจะปฏิเสธและเตรียมยื่นอุทธรณ์ก็ตาม
ล่าสุดธนาคารเครดิต สวิส ต้องเลื่อนการเปิดเผยรายงานประจำปีซึ่งเดิมต้องรายงานตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากได้รับการติดต่อในนาทีสุดท้ายจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ กรณีการปรับปรุงแก้ไขงบกระแสเงินสดของปี 2019-2020 และเมื่อเผยรายงานเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เครดิต สวิสยอมรับว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงิน
ความเคลื่อนไหวของตลาดอาจทำให้ลูกค้ากังวลและถอนเงินออก ทำให้ลูกค้าพากันแห่ถอนเงินฝากจำนวนมากพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่พึ่งพาเงินสดจากลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ธนาคารขนาดใหญ่ อาทิ เครดิต สวิส อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อกำหนดของรัฐบาลและการทดสอบความสามารถในการรับมือวิกฤตของหน่วยงานกำกับดูแลที่นำมาใช้หลังเหตุวิกฤตการเงินปี 2008
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบควรมีเงินทุนเพียงพอ และต้องมี living will หรือแผนรับมือ เตรียมพร้อมไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะล้มได้อย่างมีแบบแผน อย่างไรก็ดีแผนรับมือเหล่านี้ยังไม่เคยถูกนำมาใช้สำหรับการล้มของธนาคารในชีวิตจริงเลย
สำหรับธนาคารเครดิต สวิส นั้น Finma หน่วยงานกำกับดูแลธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์ อนุมัติแผนรับมือเหตุฉุกเฉินของธนาคารเครดิต สวิส เมื่อปีที่แล้ว แต่บอกว่าบางส่วนของแผนยังไม่เพียงพอ
ลูกค้าของธนาคารเครดิต สวิส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากระเป๋าหนักและธุรกิจต่างๆ มากกว่าลูกค่ารายย่อยทั่วไป ถอนเงินออกจากธนาคารต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว จนถึงปลายปีที่แล้ว มีเงินถูกถอนออกจากธนาคารกว่า 111,000 ล้านฟรังสวิส และยังไม่ชัดเจนว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา การแห่ถอนเงินของลูกค้าเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นที่ร่วงลงหรือไม่
ธนาคาร Lehman Brothers ของสหรัฐฯ ที่ล้มเมื่อปี 2008 และจุดชนวนวิกฤตการเงินทั่วโลก ระส่ำระสายหลังขาดเงินทุนและธนาคารอื่นๆ หยุดทำธุรกรรมด้วย
แต่ที่ทำให้ธนาคารเครดิต สวิส แตกต่างจาก Lehman Brothers และ SVB คือ ธนาคารเครดิต สวิส มีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงพอให้ใช้และยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของธนาคารกลางสวิสฯ โดยล่าสุดธนาคารเครดิต สวิส เผยว่าจะกู้ยืมเงิน 53,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารกลางสวิสฯ และยังอ่อนไหวต่อการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงน้อยกว่าธนาคารอื่นๆ ทางธนาคารยังสร้างมาตรการเพื่อรองรับแรงกระแทกจากการถอนเงินฝากจำนวนมากๆ นับตั้งแต่ลูกค้าแห่ถอนเงินระลอกใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
พอล เจ. เดวีส์ คอลัมนิสต์ด้านการธนาคารของ Bloomberg เผยว่า ธนาคารเครดิต สวิส ยังมีสินทรัพย์สภาพคล่องเทียบเท่าเงินสดสำหรับจ่ายคืนเงินฝากและเงินกู้มากพอที่จะชำระคืนครึ่งหนึ่งของหนี้สินทั้งหมดในเงินฝากและเงินกู้ยืมจากธนาคารอื่น ๆ
เกิดอะไรขึ้นกับธนาคารเครดิต สวิส
เมื่อวันพุธ (15 มี.ค.) หุ้นเครดิต สวิส ร่วงกว่า 30% ลงมาซื้อขายกันที่ 1.56 ฟรังสวิสต่อหุ้น (57.87 บาท) ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนจะปิดตลาดลดลง 24% หลังจากผู้ถือหุ้นหลักอย่างธนาคารแห่งชาติซาอุ (Saudi National Bank-SNB) ไม่เพิ่มเงินทุนรอบล่าสุด เนื่องจากมีข้อกำหนดไม่ให้ SNB ถือหุ้นเกิน 10% (ตอนนี้ถืออยู่ 9.9%)อัมมาร์ อัล คูไดรี ประธาน SNB เผยกับสำนักข่าว Reuters ว่า เครดิต สวิส เป็น “ธนาคารที่แข็งแกร่งมาก” และไม่น่าจะต้องการเงินสดเพิ่มเติมหลังจากเพิ่งระดมเงินได้ 4,000 ล้านฟรังสวิสสำหรับแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี คอมเม้นต์เกี่ยวกับข้อจำกัดการถือหุ้นดังกล่าวทำให้บรรดานักลงทุนตกใจ เพราะห่วงว่าเงินสดฉุกเฉินจากบรรดานักลงทุนจากตะวันออกกลางจะถูกจำกัด
ความตื่นตระหนกเกี่ยวกับความอ่อนไหวของภาคการธนาคารทั่วโลกยังคงอยู่หลังจาก SVB ล้ม และความกลัวว่าจะเกิดปัญหาต่อเนื่องในกรณีของเครดิต สวิสซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 17 ของยุโรปในแง่ของสินทรัพย์นั้นมีมากกว่ากรณีของ SVB และถือว่ามีความสำคัญเชิงระบบต่อระบบการเงินโลก
ปัญหารุมเร้า
ปีที่แล้วเครดิต สวิส เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนครั้งใหญ่ที่พุ่งขึ้นมาถึง 7,300 ล้านฟรังสวิส และฟื้นฟูการปฏิบัติการที่สะดุดเพราะเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่องตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติมิชอบ ละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ฟอกเงินและเลี่ยงภาษีเพียง 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมา เครดิต สวิส ต้องเผชิญหลายข้อหา อาทิ จารกรรมความลับทางการค้าของบริษัทหลังจ้างนักสืบมืออาชีพสอดแนมบรรดาผู้บริหารที่พ้นตำแหน่งไปแล้ว, คดีสินบนในการปล่อยเงินกู้ให้บริษัทรัฐวิสาหกิจในโมแซมบิกจนถูกทางการสหรัฐฯ และอังกฤษสั่งปรับ 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปี 2021
รวมถึงเจ็บหนักจากการล้มละลายของ Greensill Capital บริษัทด้านการเงินในอังกฤษซึ่งเครดิต สวิส เข้าไปลงทุนราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐและของ Archegos Capital ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เครดิต สวิส ยังตกที่นั่งลำบากหลังจากบรรดาสื่อใหญ่จากทั่วโลกเปิดเผยรายงานสืบสวนสอบสวนระดับโลก (Suisse Secrets) ที่เปิดโปงด้านมืดของธนาคารสวิสฯ เมื่อปีที่แล้วที่พบว่า ธนาคารเครดิต สวิส ให้บริการลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ฟอกเงิน คอร์รัปชัน และอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีเงินเกี่ยวข้องกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปีเดียวกันพนักงานอัยการของสวิตเซอร์แลนด์ยังพบว่าธนาคารเครดิต สวิส มีความผิดจากการช่วยฟอกเงินในนามของมาเฟียบัลแกเรีย แม้ว่าเครดิต สวิสจะปฏิเสธและเตรียมยื่นอุทธรณ์ก็ตาม
ล่าสุดธนาคารเครดิต สวิส ต้องเลื่อนการเปิดเผยรายงานประจำปีซึ่งเดิมต้องรายงานตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากได้รับการติดต่อในนาทีสุดท้ายจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ กรณีการปรับปรุงแก้ไขงบกระแสเงินสดของปี 2019-2020 และเมื่อเผยรายงานเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เครดิต สวิสยอมรับว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงิน
เราควรกังวลแค่ไหน
หุ้นของธนาคารอีกหลายแห่งในยุโรปก็ร่วงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีต้องไม่ลืมว่าราคาหุ้นจะสะท้อนความกังวลของนักลงทุนมากกว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของงบดุลความเคลื่อนไหวของตลาดอาจทำให้ลูกค้ากังวลและถอนเงินออก ทำให้ลูกค้าพากันแห่ถอนเงินฝากจำนวนมากพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่พึ่งพาเงินสดจากลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ธนาคารขนาดใหญ่ อาทิ เครดิต สวิส อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อกำหนดของรัฐบาลและการทดสอบความสามารถในการรับมือวิกฤตของหน่วยงานกำกับดูแลที่นำมาใช้หลังเหตุวิกฤตการเงินปี 2008
กฎเกณฑ์หลังวิกฤตการเงินไม่เวิร์กหรือ
หลังวิกฤตการเงินในปี 2008 หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกบังคับกฎที่เข้มงวดขึ้น โดยฉพาะอย่างยิ่งธนาคารที่สำคัญกับระบบการเงินของโลก ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลแห่งชาตินำการทดสอบความสามารถในการรับมือวิกฤตของธนาคารที่ทำกันทุกปีมาใช้ เพื่อตรวจสอบว่าธนาคารสามารถรับแรงกระแทกที่รุนแรงทางเศรษฐกิจและความโกลาหลของตลาด และให้บริการลูกค้าไปพร้อมๆ กันได้หรือไม่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบควรมีเงินทุนเพียงพอ และต้องมี living will หรือแผนรับมือ เตรียมพร้อมไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะล้มได้อย่างมีแบบแผน อย่างไรก็ดีแผนรับมือเหล่านี้ยังไม่เคยถูกนำมาใช้สำหรับการล้มของธนาคารในชีวิตจริงเลย
สำหรับธนาคารเครดิต สวิส นั้น Finma หน่วยงานกำกับดูแลธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์ อนุมัติแผนรับมือเหตุฉุกเฉินของธนาคารเครดิต สวิส เมื่อปีที่แล้ว แต่บอกว่าบางส่วนของแผนยังไม่เพียงพอ
ซ้ำรอยธนาคารสหรัฐฯ ล้มเมื่อปี 2008?
ความกังวลต่อธนาคารเครดิต สวิส เกิดขึ้นหลังการล้มของธนาคารคริปโทฯ รายใหญ่อย่าง Silvergate เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (9 มี.ค.) ตามด้วย AVB เมื่อวันศุกร์ และ Signature เมื่อวันอาทิตย์ลูกค้าของธนาคารเครดิต สวิส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากระเป๋าหนักและธุรกิจต่างๆ มากกว่าลูกค่ารายย่อยทั่วไป ถอนเงินออกจากธนาคารต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว จนถึงปลายปีที่แล้ว มีเงินถูกถอนออกจากธนาคารกว่า 111,000 ล้านฟรังสวิส และยังไม่ชัดเจนว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา การแห่ถอนเงินของลูกค้าเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นที่ร่วงลงหรือไม่
ธนาคาร Lehman Brothers ของสหรัฐฯ ที่ล้มเมื่อปี 2008 และจุดชนวนวิกฤตการเงินทั่วโลก ระส่ำระสายหลังขาดเงินทุนและธนาคารอื่นๆ หยุดทำธุรกรรมด้วย
แต่ที่ทำให้ธนาคารเครดิต สวิส แตกต่างจาก Lehman Brothers และ SVB คือ ธนาคารเครดิต สวิส มีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงพอให้ใช้และยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของธนาคารกลางสวิสฯ โดยล่าสุดธนาคารเครดิต สวิส เผยว่าจะกู้ยืมเงิน 53,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารกลางสวิสฯ และยังอ่อนไหวต่อการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงน้อยกว่าธนาคารอื่นๆ ทางธนาคารยังสร้างมาตรการเพื่อรองรับแรงกระแทกจากการถอนเงินฝากจำนวนมากๆ นับตั้งแต่ลูกค้าแห่ถอนเงินระลอกใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
พอล เจ. เดวีส์ คอลัมนิสต์ด้านการธนาคารของ Bloomberg เผยว่า ธนาคารเครดิต สวิส ยังมีสินทรัพย์สภาพคล่องเทียบเท่าเงินสดสำหรับจ่ายคืนเงินฝากและเงินกู้มากพอที่จะชำระคืนครึ่งหนึ่งของหนี้สินทั้งหมดในเงินฝากและเงินกู้ยืมจากธนาคารอื่น ๆ