ตายแล้วฟื้นแบบวิทยาศาสตร์ ‘แช่แข็งศพ’ แห่งแรกในยุโรปรอวันฟื้นกลับมาอีกครั้ง!

12 ส.ค. 2567 - 00:00

  • ตายแล้วฟื้นแบบวิทยาศาสตร์ ‘แช่แข็งศพ’ เพื่อวันหนึ่งจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งอีกครั้ง กับราคาที่ต้องจ่ายราว 7.6 ล้านบาท

  • การเก็บรักษาร่างดังกล่าวจะใช้อุณหภูมิที่ -196 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้เป็นหลายร้อยปีจนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่พร้อมมาช่วยให้ฟื้น

  • ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกแล้ว 650 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป แต่คำถามก็คือ “จะเป็นไปได้ไหม?”

europe-first-cryopreservation-start-up-freeze-liquid-nitrogen-hope-revived-SPACEBAR-Hero.jpg

ว่ากันด้วยวัฏจักรชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตาย หากมองในแง่มุมแต่ละศาสนาก็คงเป็นความเชื่อโลกหลังความตาย ตายแล้วไปไหน ไปนรก-สวรรค์ การกลับไปมีชีวิตนิรันดร์ หรือความเชื่อที่ว่าทุกคนจะกลับมาเจอกันใหม่ในดินแดนพระเจ้า ร่างกายดับสูญ... 

แต่ไม่ใช่สำหรับที่นี่!!! เพราะความตายอาจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เมื่อ ‘Tomorrow Bio’ บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติเยอรมันที่ทำไครโอนิกส์ (Cryonics) หรือการเก็บรักษาศพของมนุษย์โดยการแช่แข็งร่างกาย หรือสมองที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ด้วยความหวังว่าคนตายจะฟื้นกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าเพียงพอ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 170,000 ปอนด์ (ราว 7.6 ล้านบาท) 

ตายแล้วฟื้นแบบหลักการ ‘วิทยาศาสตร์’

‘Tomorrow Bio’ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2020 อ้างว่าได้แช่แข็งคนตายไปแล้ว 6 ร่าง และสัตว์เลี้ยงอีก 5 ตัว แถมยังมีลูกค้าที่จ่ายเงิน 650 คน เพื่อที่จะแช่แข็งร่างตัวเองตอนที่ตายไปแล้วอีกด้วย 

ในอนาคต ลูกค้าที่ป่วยแล้วเสียชีวิตจะสามารถฟื้นขึ้นมา และหายจากโรคใดๆ ก็ตามที่ทำให้พวกเขาเสียชีวิต

“โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าในช่วงชีวิตของผม ซึ่งขณะนี้อายุ 40 ปีแล้ว เราอาจได้เห็นการแช่แข็งเพื่อความปลอดภัย และการฟื้นคืนชีพของสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อน...เราเป็นบริษัทไครโอนิกส์เจ้าแรก และเจ้าเดียวในปัจจุบันที่นำเสนอบริการแช่แข็งศพ ซึ่งหมายความว่า เราจะเริ่มกระบวนการแช่แข็งทันทีหลังจากที่้ลูกค้าเสียชีวิต โดยใช้รถพยาบาลที่ดัดแปลงมาทำเป็นห้องผ่าตัดเคลื่อนที่”

เฟอร์นันโด อาเซเวโด ปินเฮโร ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทบอกกับสำนักข่าว Daily Mail

จุดขายหลักของ ‘Tomorrow Bio’ สำหรับลูกค้าเป้าหมายคือ ความรวดเร็วในการเก็บรักษาร่างลูกค้าหลังจากที่พวกเขาตายแล้ว เนื่องจากความเร็วคือสิ่งสำคัญ บริษัทจึงจ้างทีมงานสแตนด์บาย ทีมรักษาสภาพศพ และทีมขนส่ง (SST) ที่ตั้งอยู่ในเบอร์ลิน อัมสเตอร์ดัม และซูริก 

เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต ทีมเหล่านี้จะเข้ามารับผู้ตายทันทีที่แพทย์อนุญาต จากนั้นเจ้าหน้าที่รถพยาบาลจะนำร่างไปแช่ในน้ำแข็ง พร้อมทั้งนวดหัวใจ และให้ออกซิเจนเพื่อชะลอผลของการเน่าเปื่อยของศพ แม้ว่าจะยังต้องเตรียมการก่อนถึงสถานที่จัดเก็บศพระยะยาว แต่ทีมงาน ‘Tomorrow Bio’ ก็พยายามจะควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้ลดลงเหลือ -80 องศาฯ 

โดยปกติแล้ว ถ้าร่างกายถูกลดอุณหภูมิลงมาเหลือประมาณเท่านี้อย่างกะทันหัน น้ำในเซลล์จะแข็งตัวและขยายตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับความเสียหาย ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ‘Tomorrow Bio’ จึงใช้กระบวนการที่เรียกว่า ‘cryoprotection’ ซึ่งเป็นการใช้สารป้องกันไม่ให้เซลล์เป็นผลึกน้ำแข็ง ขณะเดียวกันก็ลดอุณหภูมิของร่างกายลงด้วย 

เมื่อร่างถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัยระหว่างทางแล้ว ร่างไร้วิญญาณของลูกค้าก็จะถูกนำไปไว้ในสถานที่จัดเก็บระยะยาวในสถาบันวิจัย ‘European Biostasis Foundation’ ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยจะถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิ -196 องศาฯ เป็นเวลา 10 วัน ก่อนที่จะนำร่างไปเก็บรักษาในภาชนะเหล็กสูง 3.20 เมตรที่มีฉนวนสุญญากาศและบรรจุไนโตรเจนเหลว 

เนื่องจากภาชนะเหล่านี้ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการรักษาความเย็น จึงสามารถเก็บรักษาร่างไว้ได้อย่างไม่มีจำกัดเวลาในอนาคตตราบใดที่ยังมีการเติมไนโตรเจนเหลวเป็นครั้งคราว ในทางทฤษฎีแล้ว ร่างผู้ตายจะสามารถคงอยู่ได้ภายใต้การดูแลของบริษัทเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกว่าเทคโนโลยีจะพร้อมสำหรับการทำให้ร่างไร้วิญญาณฟื้นคืนชีพอีกครั้ง 

หรือบริการนี้เป็นแค่การขายฝัน...???

europe-first-cryopreservation-start-up-freeze-liquid-nitrogen-hope-revived-SPACEBAR-Photo01.jpg

หาก ‘Tomorrow Bio’ ล้มละลายไป ร่างของผู้ตายจะถูกส่งมอบให้มูลนิธิ ‘Tomorrow Patient Care Foundation’ ดูแลรักษาต่อ และหากเงิน 100,000 ปอนด์ (ราว 4.4 ล้านบาท) ที่ทางบริษัทเรียกเก็บตั้งแต่ลงทะเบียนเหลืออยู่ ลูกค้าก็สามารถขอรับคืนได้เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง 

จนถึงขณะนี้ มีผู้คนประมาณ 650 คนที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกรายเดือน 43 ปอนด์ (ราว 1,900 บาท) โดยจากข้อมูลที่เผยแพร่ในปี 2023 พบว่า สมาชิก 149 รายอาศัยอยู่ในเยอรมนี, 30 รายอยู่ในฝรั่งเศส, และ 30 รายอยู่ในสหราชอาณาจักร 

ปัจจุบัน บริษัทมีแผนที่จะขยายบริการให้ครอบคลุมพื้นที่ในสหรัฐฯ ภายในปี 2025 และที่น่าสนใจคือ “สมาชิกโดยเฉลี่ยมีอายุเพียง 36 ปีเท่านั้น และไม่มีใครที่มีแนวโน้มว่าจะเสียชีวิตในเร็วๆ นี้” ปินเฮโร บอกกับ Daily Mail 

อย่างไรก็ดี ผู้คนที่ลงทะเบียนเก็บรักษาร่างตัวเองตอนตายต่างสนใจบริการของบริษัทนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ : 

  • ลูกค้าจำนวนมากรู้สึกทึ่งกับความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี และประสบการณ์แห่งอนาคต  
  • แต่สำหรับบางคน แรงจูงใจหลักคือ ‘ความกลัวต่อความตาย’ ดังนั้นการเก็บรักษาร่างของพวกเขาหลังจากตายไปแล้ว จึงช่วยให้พวกเขามีความหวัง และรู้สึกปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นหนทางที่อาจช่วยยืดอายุขัยของพวกเขาออกไปได้ 

ขณะที่ ปินเฮโร เองซึ่งวางแผนเก็บรักษาร่างตัวเองด้วยการแช่แข็ง เผยว่า ‘แรงผลักดันของเขาคือความรักต่อชีวิตมากกว่าการกลัวความตาย’ “คนอื่นๆ เช่นเดียวกับผม รักการมีชีวิตอยู่ และรู้สึกว่าเวลา 80 ปีไม่เพียงพอที่จะสำรวจทุกสิ่งบนโลกใบนี้ แนวคิดแช่แข็งร่างเพื่อที่จะได้ยืดชีวิตออกไป และการมีเวลาเพิ่มมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายและความฝันของตัวเองเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง” 

ที่แปลกกว่านั้นมีบริการ ‘แช่แข็งร่างสัตว์เลี้ยง’ ด้วย

“ผู้คนจำนวนมากรักสัตว์เลี้ยงของตัวเองเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว เช่นเดียวกับที่พวกเขาคิดจะแช่แข็งร่างของญาติตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาเลือกที่จะทำแบบเดียวกันนี้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วย เนื่องจากมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง” ปินเฮโร กล่าว 

แม้ว่า ‘Tomorrow Bio’ จะเป็นบริษัทแรกที่เก็บรักษาศพในสหภาพยุโรป แต่การเก็บรักษาด้วยความเย็นจัดก็ไม่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่แต่อย่างใด 

ย้อนกลับไปตอนที่ผู้ก่อตั้งดิสนีย์ วอลต์ ดิสนีย์ ตาย เวลานั้นใครหลายคนต่างก็เชื่อกันว่าเขาถูกแช่แข็งร่าง แต่สุดท้ายข่าวลือนี้ก็ไม่เป็นความจริง ถึงกระนั้นในปัจจุบันก็มีรายงานว่าคนดังหลายคนได้ตัดสินใจที่จะแช่แข็งร่างตัวเองหลังจากที่พวกเขาตายไป ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ อาโอกิ ดีเจชาวอเมริกัน และ เซธ แม็กฟาร์ลิน ผู้สร้างซีรีส์ ‘Family Guy’ 

หากถามว่ามีโอกาสที่คนตายจะฟื้นขึ้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหลังการแช่แข็งศพหรือไม่นั้น? ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ให้คำตอบไว้ว่า “ไม่มีเลย” 

ถ้าเป็นคุณ คุณจะจ่ายเงินเกือบ 8 ล้านเพื่อแช่แข็งร่างไร้วิญญาณไว้ไหม? จะมีวันที่เราฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้งจริงๆ หรอ? หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่บริการขายฝัน?

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์