ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง FBI กัส ปาเทล ได้เปิดเผยเอกสารที่ระบุว่ารัฐบาลจีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ผ่านการใช้บัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ปลอม
การเลือกตั้งปี 2020 เป็นจุดหัวเลี้ยวในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้มีการใช้บัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์มากกว่า 65.6 ล้านใบทั่วประเทศ ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่เคยมีมาก่อน
รัฐที่มีประสบการณ์ในการจัดการระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์อย่างโคโลราโด โอเรกอน และวอชิงตัน สามารถรับมือได้อย่างราบรื่น แต่รัฐอื่นๆ ที่ต้องใช้งานระบบนี้ และมีเวลาเตรียมตัวในช่วงสั้น ๆ กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร
ความตึงเครียดเริ่มปรากฏชัดเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีในขณะนั้น และพันธมิตรเริ่มกล่าวอ้างว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งอย่างแพร่หลาย แม้ว่าหน่วยงานระดับรัฐบาลกลางและเจ้าหน้าที่ระดับรัฐจะยืนยันความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า การสืบสวนและการตรวจสอบหลายชั้นก็ไม่สามารถพบหลักฐานการทุจริตที่มีนัยสำคัญได้
ทฤษฎีสมคบคิด
เอกสารที่ FBI เปิดเผยต่อวุฒิสมาชิก ชัค แกรสลีย์ จากพรรครีพับลิกัน มีรายละเอียดว่าต้นปี 2020 FBI ได้รับคำแนะนำจากแหล่งข่าวลับที่น่าเชื่อถือว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ผลิตใบขับขี่สหรัฐฯ ปลอมจำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างตัวตนผู้มีสิทธิเลือกตั้งปลอมสำหรับพลเมืองจีนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ของหน่วยข่าว ระบุว่าแผนนี้มุ่งเป้าไปที่การใช้ประโยชน์จากระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะการลงคะแนนให้กับโจ ไบเดน ซึ่งในที่สุดก็ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนั้น
สิ่งที่ทำให้ข้อกล่าวหานี้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นคือการที่ศุลกากรและการป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) สามารถยึดใบขับขี่ปลอมจำนวนเกือบ 20,000 ใบจากการขนส่งที่มาจากจีนในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าการยึดเหล่านี้จะไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการทุจริตในการเลือกตั้ง แต่ปาเทลและสมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันก็ยืนยันว่าสิ่งนี้เป็นหลักฐานที่สนับสนุนความน่าเชื่อถือของข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสงสัยคือการที่รายงานของ FBI ถูกเรียกคืนเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากการส่งรายงาน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าจำเป็นต้องสัมภาษณ์แหล่งข่าวซ้ำ ปาเทลเองก็กล่าวหาว่านี่คือความพยายามในการปกปิดข้อมูล ก่อนที่คริส เรย์ ผู้อำนวยการ FBI ในขณะนั้น จะไปให้การต่อรัฐสภาว่าไม่มีแผนการแทรกแซงจากต่างชาติ
เสียงคัดค้านและหลักฐานที่ขัดแย้ง
ในขณะที่หลักฐานข้อกล่าวหาดูน่าเชื่อถือ แต่หลักฐานที่โต้แย้ง และหักล้างก็มีน้ำหนักเช่นกัน หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (CISA) กล่าวว่า ตลอดปี 2020 ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงว่าระบบการลงคะแนนถูกแทรกแซง หรือบัตรลงคะแนนถูกเปลี่ยนแปลงโดยต่างชาติ
การประเมินของสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ (ODNI) ในเดือนมีนาคม 2021 ได้ข้อสรุปว่าจีน ‘พิจารณาแต่ไม่ได้ปรับใช้’ ความพยายามในการแทรกแซง ในขณะที่รัสเซียและอิหร่านมีความเคลื่อนไหวมากกว่า สิ่งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความแม่นยำของข้อมูลที่นำมาเปิดเผย
เนื่องจากข้อมูลเท็จหลายอย่างได้แพร่กระจายในช่วงการเลือกตั้ง รวมถึงการอ้างว่ามีบริษัทขนส่งจีนที่พบในสถานที่นับคะแนนในจอร์เจีย นักตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ชี้แจงว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศสามารถใช้บริการขนส่งเอกชนอย่าง SF Express ในการส่งบัตรลงคะแนนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ปฏิกิริยาทางการเมืองและความแตกแยกในพรรคการเมือง
การเปิดเผยของปาเทล มีความเห็นที่หลากหลายจากนักการเมืองทั้งสองพรรค วุฒิสมาชิก ชัค แกรสลีย์ จากพรรครีพับลิกัน ชื่นชมความโปร่งใสของปาเทล และเรียกเอกสารชุดนี้ว่า ‘น่าตื่นกลัว'’และวิจารณ์การทำหน้าที่ของ FBI ที่ไม่ให้ความสำคัญกับข้อมูลลับในตอนแรก ฝ่ายที่สนับสนุนทรัมป์มองว่าการเปิดเผยครั้งนี้เป็นการยืนยันข้อกล่าวหาที่มีมายาวนานเกี่ยวกับจุดอ่อนของระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์
แต่ฝ่ายขัดแย้งก็ไม่ได้นิ่งเฉย วุฒิสมาชิกดิค เดอร์บิน จากพรรคเดโมแครตได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของปาเทล โดยอ้างถึงการพูดจาที่เอนเอียงทางการเมืองและประสบการณ์ที่จำกัดในด้านการบังคับใช้กฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยการเลือกตั้งยังชี้ให้เห็นว่าระบบการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและขั้นตอนการตรวจสอบลายมือชื่อทำให้การทุจริตขนาดใหญ่เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ
FBI ภายใต้การควบคุมของปาเทล ให้ความสำคัญกับการต่อต้านอิทธิพลของจีน ตั้งแต่การซื้อที่ดินที่อ้างกันว่าใกล้กับฐานทัพ และการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การจัดการข้อมูลลับปี 2020 ทำให้ FBI ยุคนี้ถูกกล่าวหาว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ข้อมูลทางสถิติชี้ให้เห็นว่าในปี 2020 มีบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์เพียง 0.3% เท่านั้นที่เป็นบัตรเสีย เนื่องจากลายมือชื่อไม่ตรงกัน ข้อผิดพลาดของบัตรเลือกตั้ง ไม่มีผลการเปลี่ยนแปลงต่อผลการเลือกตั้งมากนัก ในขณะที่ CBP รายงานการยึดใบอนุญาตปลอม 7,789 ใบในระยะเวลาสองสัปดาห์ของปี 2022 แสดงให้เห็นว่าการปลอมเอกสารเป็นปัญหาที่แพร่หลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง