การพบปะกันครั้งแรกในรอบปีระหว่างสองผู้นำมหาอำนาจ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ถูกประกาศว่าประสบความสำเร็จก่อนที่ทั้งสองคนจะได้นั่งหารือกันที่ซานฟรานซิสโกเสียอีก
การพบกันครั้งก่อนที่บาหลีของอินโดนีเซียเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ก็ถูกมองว่าเป็นความก้าวหน้าในการเคลียร์ใจกันท่ามกลางความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ตึงเครียด แต่ก็ดีกันได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นก็มีกรณีบอลลูนสอดแนมที่สหรัฐฯ อ้างว่าเป็นของจีนออกมา
กว่าจะกลับมาถึงจุดที่ผู้นำทั้งสองพูดคุยหารือกันตัวต่อตัวอีกครั้งในครั้งนี้ก็ต้องดำเนินการทางการทูตที่ละเอียดอ่อนกันหลายเดือน บรรดาเจ้าหน้าที่ต้องหาทางจัดการกับความไม่ลงรอยกันในหลายเรื่อง อาทิ เทคโนโลยี การค้า สิทธิมนุษยชน และไต้หวัน ขณะที่สหรัฐฯ ก็ไม่สบายใจเรื่องที่จีนมีท่าทีคลุมเครือเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจีนสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ จำนวนหนึ่ง จีนยังพูดถึงสัญญาซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ ไปจนถึงการรับปากว่าจะปราบปรามการส่งออกเฟนทานิล ยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์ซึ่งเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่กำลังสร้างความปวดหัวให้สหรัฐฯ
แต่ไมตรีระหว่างกันครั้งนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน? และจะมีความหมายเพียงใด?
การพบปะกันนอกรอบครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับทั้งสีจิ้นผิงและไบเดน เนื่องจากทั้งคู่รู้สึกว่าตัวเองได้ประโยชน์
แต่นอกเหนือจากการคุยกันที่ซานฟรานซิสโกแล้ว สีจิ้นผิงยังเดินหน้าสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ท้าทายสหรัฐฯ ด้วย อีกทั้งสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ก็ร้อนระอุขึ้นมาอีกจากความพยายามขยับขยายการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ของจีน ส่วนการเลือกตั้งในไต้หวันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ในระหว่างนั้นสหรัฐฯ ก็จะยังคงดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอยู่ไม่ว่าใครจะนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีหลังการเลือกตั้งในปี 2024 ก็ตาม ไบเดนอาจสุภาพมากกว่าอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีด้วย แต่ไบเดนมีท่าทีกีดกันทางการค้ามากกว่า และคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็หนุนการตั้งกำแพงภาษีกับจีนเสียด้วย
แน่นอนว่าการพบปะกันของไบเดนและสีจิ้นผิงครั้งนี้จะบรรลุเป้าหมายทันทีเช่นเดียวกับการพบกันที่บาหลี มีการเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างกันแล้วและอาจคงอยู่ไประยะหนึ่ง
ขณะที่ไบเดนกับสีจิ้นผิงก็รู้จักกันมากว่าทศวรรษแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ
แต่เหนืออื่นใดคือ ความสัมพันธ์นั้นเป็นความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์เท่านั้น
Photo by Brendan SMIALOWSKI / AFP