คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้ประกาศให้เกาหลีใต้เป็น ‘ศัตรูหลัก’ ของประเทศ สั่งยุบหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประสานระหว่างเหนือ-ใต้ เพื่อการรวมชาติ และขู่ทำ ‘สงคราม’ ถ้ามีการละเมิดดินแดนแม้แต่ 0.001 มิลลิเมตร
ทว่าวาทกรรมที่เร่าร้อนนี้เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือไม่?
หลังจากความสัมพันธ์ย่ำแย่ลงมานานหลายปี เกาหลีเหนือได้ประกาศให้เกาหลีใต้เป็นศัตรูหลัก และขู่ว่าจะทำสงครามยึดครองเกาหลีใต้
“ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากในอดีตเมื่อมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งกัน ก็มักจะมีช่องทางในการควบคุม แต่ในตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว เกาหลีเหนือได้กำจัดกลไกที่ป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามออกไปหมดแล้ว” ฮง มิน นักวิเคราะห์ของสถาบันเกาหลีกล่าวพร้อมเสริมว่า การที่เกาหลีเหนือตีตราว่าเกาหลีใต้เป็นศัตรูนั้น ไม่ใช่แค่วาทกรรม แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้จริง
คิมจองอึนบอกว่า เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเริ่มสงคราม แต่ก็ไม่ได้คิดจะหลีกหนีถ้ามีสงครามเช่นกัน พร้อมทั้งประกาศว่า เขาจะไม่ยอมรับพรมแดนทางทะเลระหว่าง 2 เกาหลี (Northern Limit Line) อีกต่อไป และเริ่มฝึกซ้อมทางทหารด้วยกระสุนจริงในพื้นที่ดังกล่าว

ฮงกล่าวว่า สิ่งนี้ได้สร้างความเป็นไปได้มากขึ้นที่ 2 ฝ่ายจะเข้าสู่การต่อสู้กันทางทหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในวงกว้างขึ้น
นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังใกล้ชิดกับรัสเซียมากขึ้น รวมถึงที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้เคยกล่าวหาเกาหลีเหนือส่งขีปนาวุธให้รัสเซียใช้ในการทำสงครามในยูเครน เพื่อแลกกับการช่วยเหลือเกี่ยวกับโครงการดาวเทียมของเกาหลีเหนือ
ด้านเกาหลีใต้ก็ขู่กลับว่า จะใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นหลายเท่าต่อการยั่วยุใดๆ ก็ตามที่เกาหลีเหนือก่อ
ชอยกิอิล ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาทางการทหารจากมหาวิทยาลัยซังจี กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ทั้ง 2 เกาหลีจะถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งด้วยอาวุธ

ในปี 2010 เกาหลีเหนือโจมตีเกาะยอนพยอง ซึ่งเป็นเกาะชายแดนอันห่างไกลของเกาหลีใต้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ขณะที่เครื่องบินไอพ่น F-16 ของเกาหลีเหนืออยู่ในอากาศพร้อมที่จะโจมตีกลับ แต่ประธานาธิบดีอีเมียงบัก ก็สั่งยกเลิกการโจมตีเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
“แต่หากเรามีเหตุการณ์ที่คล้ายกัน ก็ไม่มีหลักประกันว่ากองกำลังทางอากาศจะไม่ถูกนำมาใช้ หลังจากได้รับเสียงเรียกร้องจากฝ่ายบริหารเกาหลีใต้ และการตอบสนองของเกาหลีเหนืออาจทำให้เห็นว่าคาบสมุทรเกาหลีเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบในที่สุด” ชอยกล่าว

ซูคิม หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการด้านนโยบายของ LMI Consulting และอดีตนักวิเคราะห์ของ CIA กล่าวกับ AFP ว่า โอกาสในการปรองดองระหว่าง 2 เกาหลีนั้นมืดมนมานานแล้ว แต่ตอนนี้มันเหมือนคิมจองอึนได้บอกกับเกาหลีใต้ต่อหน้าว่า เขามองเกาหลีใต้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขา เขาไม่เพียงแต่ปิดประตูสู่การสร้างสายสัมพันธ์เท่านั้น เขายังใส่แม่กุญแจเพื่อให้ชาวเกาหลีใต้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขายืนหยัดในความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างไร
เกาหลีเหนือพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธมาเป็นเวลานาน และคิมกำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 ที่หลายคนตั้งตารอคอย
ซูคิมกล่าวว่า อาวุธเหล่านี้ไม่ได้ได้รับการพัฒนาในชั่วข้ามคืน และแผนการของรัฐบาลเกาหลีเหนือที่จะใช้อาวุธเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการบังคับขู่เข็ญ ข่มขู่ และการเจรจาต่อรอง ถือเป็นวิธีการดำเนินการมานานหลายทศวรรษ

ลีฟ-เอริก อีสลีย์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอีฮวาในกรุงโซล กล่าวว่า ข้อความจากคิมจองอึนที่มีต่อเกาหลีใต้ดูเหมือนจะเป็นการปรับเปลี่ยนอุดมการณ์เพื่อความอยู่รอดของระบอบการปกครอง แม้จะมีการปิดพรมแดนหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเวลาหลายปี รวมถึงการควบคุมข้อมูลภายในประเทศอย่างเข้มงวด แต่ชาวเกาหลีเหนือก็ตระหนักมากขึ้นถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง เมื่อเทียบกับความสำเร็จของเกาหลีใต้
เกาหลีใต้ก็ถูกกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนเมษายนเช่นกัน ซึ่งพรรคของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุนซอกยอล กำลังพยายามแย่งชิงการควบคุมรัฐสภากลับคืนมา ซึ่งอีสลีย์กล่าวว่า คิมจองอึนอาจพยายามลงโทษทางการเมืองกับฝ่ายบริหารของยุนซอกยอล เกี่ยวกับนโยบายที่มีต่อเกาหลีเหนือก่อนที่จะเกิดการเลือกตั้งในเดือนเมษายน