เมื่อชาวปาเลสไตน์ทางตอนเหนือของฉนวนกาซาปฏิบัติตามคำเตือนทางโทรศัพท์ ข้อความ และใบปลิวจากกองทัพอิสราเอลที่แนะนำให้พวกเขามุ่งหน้าไปทางใต้ ทว่ามันกลับกลายเป็นว่าชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญกับผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศอย่างไม่คาดคิดระหว่างที่เดินทางหลบหนี
กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ประกาศคำแนะนำเมื่อวันศุกร์ (13 ต.ค.) ที่ผ่านมา โดยแจ้งให้พลเรือนทุกคนในฉนวนกาซาตอนเหนืออพยพไปยังพื้นที่ทางใต้ของวาดี กาซา (Wadi Gaza) “เพื่อความปลอดภัยของคุณเองและครอบครัวของคุณ” ในขณะที่ IDF ยังคงปฏิบัติการในเมืองกาซาและพยายามเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายพลเรือน
อย่างไรก็ตาม ชาวปาเลสไตน์บางคนที่ปฏิบัติตามคำเตือนในการอพยพและออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัยนั้นกลับต้องเผชิญกับชะตากรรมเลวร้ายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ซึ่งคร่าชีวิตพวกเขานอกเขตอพยพ
การแจ้งเตือนดังกล่าว ‘ไม่’ รับประกันความปลอดภัย
การสังหารดังกล่าวตอกย้ำความจริงที่ว่าเขตอพยพและการแจ้งเตือนจากกองทัพอิสราเอลไม่ได้รับประกันความปลอดภัยสำหรับพลเรือนในฉนวนกาซาที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งชาวปาเลสไตน์ไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยในการหลบหนีระเบิดของอิสราเอล
ในช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ อาอีด อัล-อัจรามี และราจี หลานชายของเขา ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ทหารอิสราเอลซึ่งเตือนให้พวกเขาพาทุกคนที่เขารู้จักมุ่งหน้าไปทางใต้ทันที แม้จะปฏิบัติตามคำแนะนำและหลบหนีไปทางใต้ของเขตอพยพได้สำเร็จ แต่ครอบครัวของอาอีดก็ถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเช้าวันต่อมา
CNN บอกว่า การบันทึกเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ดังกล่าวแสดงให้เห็นรายละเอียดของการสนทนาสั้นๆ ซึ่งรวมถึงคำสั่งของ IDF ให้หลบหนีไปทางใต้ของเขตอพยพ และไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเดินทางไปที่นั่น ขณะที่ราจีเล่าว่า ‘เมื่อพวกเขารู้ว่าใครโทรมา พวกเขาก็บันทึกการสนทนาเพื่อให้สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ได้ฟังกัน’
“พวกคุณทุกคนจงไปทางทิศใต้ คุณและสมาชิกในครอบครัวทุกคน รวบรวมสิ่งของของคุณทั้งหมดแล้วมุ่งหน้าไปที่นั่น” เจ้าหน้าที่บอกพวกเขา และอาอีดถามกลับไปว่า “ถนนเส้นไหนจะปลอดภัยและควรออกเดินทางกี่โมง” แต่เจ้าหน้าที่ตอบกลับว่า “ไม่สำคัญว่าถนนไหน ออกเดินทางให้เร็วที่สุด ไม่มีเวลาเหลือแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นอาอีดก็ไม่รอช้าปฏิบัติตามคำเตือนมุ่งหน้าไปทางใต้กับครอบครัวและญาติๆ เพื่อไปพักอยู่กับเพื่อนที่เมืองเดียร์ อัล บาลาห์ (Deir Al Balah) ซึ่งอยู่ทางใต้ของวาดี กาซาประมาณ 8 ไมล์ และอยู่นอกเขตอพยพ ทว่าในเช้าวันต่อมา การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในพื้นที่ได้ทำลายบางส่วนของอาคารที่ครอบครัวของอาอีดขอลี้ภัย ส่งผลให้เขาและสมาชิกครอบครัวอีก 12 คน รวมทั้งลูก 7 คนเสียชีวิต
ส่วน ราจี หลานชายของเขาวัย 32 ปีซึ่งพักอยู่ในอาคารอีกหลังหนึ่งใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิด และรีบไปยังที่เกิดเหตุหลังจากได้รับโทรศัพท์แจ้งว่ามีสมาชิกในครอบครัวของลุงที่ตกเป็นเหยื่อ “การทำลายล้างครั้งใหญ่มาก เราเริ่มขุดหาคนที่โดนระเบิด บางคนยังมีชีวิตอยู่ … กลิ่นดินปืนแรงมาก ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว…
”คนเหล่านี้ต่างก็คิดว่าในที่สุดพวกเขาก็ปลอดภัยแล้ว และจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในพื้นที่นี้ คุณสามารถปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อที่คุณจะได้ไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่อันตรายจะยังคงมาถึงคุณไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม…ผมรู้สึกได้ถึงความอยุติธรรม คนพวกนี้บริสุทธิ์ พวกเขากำลังทำอะไร?” ราจีกล่าว
ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ของเขตอพยพ…
ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ประมาณ 500,000 คนได้หลบหนีออกจากฉนวนกาซาตอนเหนือไปทางตอนใต้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา แต่อีกหลายคนก็ไม่สามารถเดินทางไปทางใต้ของเขตอพยพได้ และติดอยู่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา
ทั้งนี้ การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลโดยมุ่งเป้าไปที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มฮามาสและทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ภายในอาคารพลเรือน ซึ่งอ้างว่าสิ่งที่อาจดูเหมือนอาคารพลเรือนนั้นเป็น ‘เป้าหมายทางทหารที่ถูกต้องตามกฎหมาย’
แต่ผู้เชี่ยวชาญอิสระของสหประชาชาติ (UN) ประณามถึง ‘การโจมตีพลเรือนปาเลสไตน์อย่างไม่เลือกปฏิบัติของอิสราเอล’ ขณะที่แพทย์ไร้พรมแดนได้เผยแพร่ข้อมูลอัปเดตเมื่อคืนวันอาทิตย์ (15 ต.ค.) ว่า ‘การโจมตีดังกล่าวนั้นโดนโรงพยาบาลและรถพยาบาลด้วย’ พร้อมทั้งประณามว่า “การทิ้งระเบิดตามอำเภอใจดังกล่าวทำให้พลเรือนเสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่”
ขณะที่หน่วยงานสหประชาชาติหลายแห่งเตือนด้วยว่า “การอพยพจำนวนมากภายใต้เงื่อนไขการปิดล้อมดังกล่าวจะนำไปสู่ภัยพิบัติ และพลเมืองที่เปราะบางที่สุด รวมถึงผู้สูงอายุและสตรีมีครรภ์อาจไม่สามารถย้ายที่อยู่ได้เลย”
“คำสั่งอพยพผู้คน 1.1 ล้านคนจากทางตอนเหนือของฉนวนกาซานั้นขัดต่อกฎแห่งสงครามและมนุษยชาติขั้นพื้นฐาน…ถนนและบ้านเรือนกลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่มีที่ไหนปลอดภัยที่จะไป” มาร์ติน กริฟฟิธส์ หัวหน้าสำนักงานสหประชาชาติเพื่อการประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรมเขียนในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ตามการระบุของสำนักข่าว WAFA อย่างเป็นทางการของปาเลสไตน์ระบุว่า “การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 2,800 รายและบาดเจ็บ 11,000 รายนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม