กองกำลังป้องกันชนชาติกะเรนนี (KNDF) กล่าวว่า ได้จับตัวทหารฝั่งรัฐบาลทหารอย่างน้อย 7 ราย ในรัฐกะยา ทางตะวันออก และรัฐฉานทางตอนใต้ นับตั้งแต่ปฏิบัติการ 11.11 ซึ่งเป็นการโจมตีต่อต้านรัฐบาลเริ่มขึ้นเมื่อวันเสาร์ (11 พ.ย.)
กองกำลังต่อต้านสามกลุ่มเปิดฉากการโจมตีพร้อมกันก่อนรุ่งสางต่อด่านหน้าของรัฐบาลทหารในเมืองลอยก่อ เมืองนานเหมยคอน เมืองเดโมโซ และเมืองโมบเย ในเมืองเปกอน รัฐฉาน เมื่อวันเสาร์ ตามการระบุของ KNDF
การต่อสู้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในเมืองลอยก่อ ขณะที่กองกำลังต่อต้านพยายามยึดเมือง ชาวบ้านและกองกำลังต่อต้าน กล่าวว่า การต่อสู้กำลังดำเนินอยู่ในรัฐกะยา โดยเฉพาะในเมืองลอยก่อ
เบตู้ ประธาน KNDF เรียกร้องให้ชาวบ้านลอยก่ออพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยเป็นการชั่วคราว เนื่องจากกองกำลังต่อต้านกำลังพยายามยึดเมืองหลวง
“คนทั้งประเทศกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราจำเป็นต้องทำลายการบริหารของรัฐบาลในเมืองลอยก่อ เพื่อสร้างการตัดสินใจด้วยตนเอง และกำจัดการปกครองแบบเผด็จการในรัฐกะเรนนี” เขากล่าวในข้อความที่ส่งถึงชาวกะเรนนีเมื่อวันจันทร์
กลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเรนนี ระบุว่า ผู้คนจำนวนมากยังคงติดอยู่ในเมืองลอยก่อ ท่ามกลางการโจมตีทางอากาศของรัฐบาลทหาร
“มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 11 คนเมื่อวันเสาร์จากการโจมตีของรัฐบาลทหารในเมืองลอยก่อ ขณะที่ประชาชนเกือบ 3,000 คนต้องออกจากเมือง” โก บันยา โฆษกของกลุ่มกล่าว
อาสาสมัครประเมินว่าผู้คนประมาณ 35,000 คน รวมถึงผู้พลัดถิ่นจากความขัดแย้งครั้งก่อน ต้องอพยพออกจากลอยก่ออันเป็นผลจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด โดยปกติแล้วเมืองนี้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัย 50,000 คน อีกทั้ง เมืองหลวงแห่งนี้ยังเป็นฐานที่มั่นที่สำคัญของรัฐบาลทหารและศูนย์กลางการควบคุมการบริหารในรัฐกะยาอีกด้วย
กองกำลังต่อต้านยังเรียกร้องให้พลเรือนหลีกเลี่ยงการใช้ถนนลอยก่อ-โมบเย, ลอยก่อ-ซีเส็ง และลอยก่อ-เดโมโซ
ในวันแรกของปฏิบัติการ 11.11 ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บในการสู้รบ แต่กองกำลังต่อต้านปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตกี่ราย นอกจากนี้ กองกำลังต่อต้านยังได้ยึดอาวุธจำนวนมากและกระสุนจำนวนมากระหว่างการปะทะ
ทหารจากฝั่งรัฐบาลอย่างน้อย 6 นาย และทหารยศร้อยโท 1 นาย ถูกจับกุมระหว่างการสู้รบเมื่อวันเสาร์ กลุ่มติดอาวุธให้คำมั่นว่าทหารเผด็จการทุกคนที่ยอมจำนนต่อกองกำลังต่อต้านจะได้รับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของอนุสัญญาว่าด้วยเชลยศึก
Photo by Handout / Kokang Information Network / AFP