ยุคสมัยเปลี่ยนอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เมื่อชายหญิงสมัยนี้ตัดสินใจอยู่เป็นโสดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวชาวจีนเลือกที่จะอยู่เป็น ‘โสด’ จำนวนมากขึ้น
“การแต่งงานเป็นสถาบันที่ไม่ยุติธรรม…ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จอย่างมากหรือเป็นเพียงคนธรรมดา ผู้หญิงยังคงเสียสละครั้งใหญ่ที่สุดที่บ้าน…หลายคนที่แต่งงานในรุ่นก่อนๆ โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องเสียสละตัวเอง ต้องพัฒนาอาชีพ และไม่ได้รับชีวิตที่มีความสุขตามที่ฝ่ายชายสัญญาไว้ ทุกวันนี้การใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็ยากพอแล้ว” ไฉหวั่นโหรว นักเขียนฟรีแลนซ์และนักสตรีนิยมวัย 28 ปีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการขับเคลื่อนที่กำลังเติบโตซึ่งสนับสนุนผู้หญิงหากในอนาคตจะไม่มีสามีและไม่มีลูกบอกกับสำนักข่าว Reuters
ในปี 2023 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ ‘ปลูกฝังวัฒนธรรมใหม่ของการแต่งงานและการมีลูก’ เนื่องจากประชากรจีนลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และจำนวนการเกิดใหม่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
พรรคคอมมิวนิสต์มองว่าครอบครัวเดี่ยวเป็นรากฐานความมั่นคงทางสังคม โดยการเป็นมารดานอกสมรสแบบที่ยังไม่ได้แต่งงานมักจะถูกตีตราและโดนปฏิเสธผลประโยชน์เสียส่วนใหญ่
ผู้หญิงที่ได้รับการศึกษามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเธอกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนท่ามกลางการว่างงานของเยาวชนและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ทำให้หญิงสาวเหล่านั้นเลือกที่อยู่เป็น ‘โสด’ แทน
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า “ประชากรโสดของจีนที่มีอายุมากกว่า 15 ปีแตะระดับ 239 ล้านคนในปี 2021 ขณะที่การจดทะเบียนสมรสดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2023 หลังจากแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2022 เพราะโควิดระบาด”
การไม่แต่งงาน-ไม่มีลูก (อาจ) เป็นรูปแบบหนึ่งของการ ‘ประท้วง’ รัฐบาล

การสำรวจของสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนในปี 2021 ซึ่งทำการสำรวจคนหนุ่มสาวในเมืองที่ยังไม่ได้แต่งงานจำนวน 2,900 คน พบว่า “ผู้หญิง 44% ไม่ได้วางแผนที่จะแต่งงาน”
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานยังคงถือเป็นก้าวสำคัญของการเป็นผู้ใหญ่ในประเทศจีน และสัดส่วนของผู้ใหญ่ที่ไม่เคยแต่งงานก็ยังต่ำอยู่
ทว่าก็มีแนวโน้มว่าชาวจีนจำนวนมากกำลังชะลอการแต่งงาน “โดยอายุเฉลี่ยของการแต่งงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็น 28.67 ในปี 2020 จาก 24.89 ในปี 2010…แต่ในเซี่ยงไฮ้กลับพบว่าตัวเลขนี้สูงถึง 30.6 สำหรับผู้ชายและ 29.2 สำหรับผู้หญิงในปี 2023” ข้อมูลสำมะโนประชากรระบุ
“โดยพื้นฐานแล้วการเคลื่อนไหวของสตรีนิยมไม่ได้รับอนุญาตในจีน แต่การปฏิเสธการแต่งงานและการมีลูกอาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการไม่เชื่อฟังโดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อรัฐปิตาธิปไตย”
นักเคลื่อนไหวสตรีนิยมชาวจีนในสหรัฐฯ กล่าว
เวลาผ่านไปนานหลายทศวรรษเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป รัฐปรับปรุงระดับการศึกษาของสตรี อนุญาตให้ทำงาน และมีความเคลื่อนไหวทางสังคม แต่ในตอนนี้ทางการจีนกลับกำลังเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากผู้หญิงสมัยใหม่เริ่มต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อให้แต่งงานมีครอบครัวมากขึ้น
รูปแบบการใช้ชีวิตโสดในระยะยาวกำลังค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้นในประเทศจีน จนเกิดเป็นชุมชนทางออนไลน์ / ฟอรัมของผู้หญิงโสดที่ต่อต้านการแต่งงานขึ้นมา ได้แก่
- ฟอรัมต่อต้านการแต่งงานบนโต้วป้าน (Douban) ซึ่งเป็นอีกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีสมาชิก 9,200 คน
- ฟอรัมที่เกี่ยวกับ ‘ความเป็นโสด’ มีสมาชิก 3,600 คนซึ่งส่วนใหญ่มักพูดคุยเกี่ยวกับแผนการเกษียณอายุโดยรวม และเรื่องราวอื่นๆ
ผู้หญิงหลายคนเคยให้สัมภาษณ์ว่าพวกเธอเบื่อกับพลวัตของครอบครัวชาวจีนที่เป็นปิตาธิปไตย (ชายเป็นใหญ่) ความเท่าเทียมทางเพศก็มีบทบาทเช่นกัน “เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ชายที่เห็นคุณค่าของความเป็นอิสระและแบ่งงานในครัวเรือนอย่างเท่าเทียมกัน” สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจที่จะอยู่เป็น ‘โสด’ และ ‘ไม่มีลูก’
“ผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาระดับวิทยาลัยกลายเป็นผู้ศรัทธาที่เข้มแข็งขึ้นในการสนับสนุนสิทธิและสถานะของตัวเองในสังคม…ผู้หญิงที่มีการศึกษาดีจะหาคู่ครองที่คอยสนับสนุนพวกเธอ แต่ก็มักพบผู้ชายที่เหมาะสมและสนับสนุนสิทธิสตรีน้อยลง” ดร.เสี่ยวหลิง ชู ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว
แม้นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าจำนวนผู้หญิงที่ยังคงเป็นโสดตลอดชีวิตจะไม่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณในอนาคต แต่การแต่งงานที่ล่าช้าและภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะคุกคามต่อเป้าหมายทางประชากรศาสตร์ของจีน
“ในระยะยาว ความกระตือรือร้นของผู้หญิงในการแต่งงานและการมีลูกจะยังคงลดลงต่อไป ฉันเชื่อว่านี่คือวิกฤตระยะยาวที่สำคัญที่สุดที่จีนจะต้องเผชิญ”
นักเคลื่อนไหวสตรีนิยมชาวจีนในสหรัฐฯ บอกกับ Reuters