ลึกเข้าไปในภูมิประเทศทะเลทรายของซาอุดีอาระเบีย ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘วาดีอัลญินน์’ (Wadi Al Jinn) หรือ ‘วาดีอีญินน์’ (Wadi E Jin) หรือ ‘วาดีอัล-ไบดา’ (Wadi al-Baida) ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยตำนาน ความมหัศจรรย์ และความลึกลับ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองศักดิ์สิทธิ์เมดินาห์ ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าหุบเขาแห่งนี้ท้าทายกฎธรรมชาติ
ผู้คนจำนวนมากต่างกล่าวขานว่ารถของพวกเขาเคลื่อนที่ขึ้นเนินได้เองทั้งๆ ที่ไม่ได้เหยียบคันเร่งแต่อย่างใด ราวกับว่ามีแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นทำให้รถเคลื่อนที่เองได้ แถมยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วถึง 120 กม./ชม.ด้วย รถบางคันจอดใส่เกียร์ว่าง รถก็ยังเคลื่อนที่เองราวกับว่าแล่นบนทางลาด ปรากฏการณ์ลึกลับนี้ปรากฏให้เห็นเป็นระยะทางประมาณ 14-15 กม.
ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้คืออะไรกันแน่? มันเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรอ? หรือว่ามีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สำหรับปรากฏการณ์ประหลาดๆ นี้หรือไม่?
ตำนานแห่งหุบเขา ‘วาดีอัลญินน์’
ในนิทานพื้นบ้านอาหรับ ชาวบ้านหลายคนเชื่อว่า วาดีอัลญินน์เป็นที่อยู่ของญินน์ สิ่งมีชีวิตทรงพลังที่มองไม่เห็น สามารถบินได้ สร้างจากไฟไร้ควัน และอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ พวกมันมักถูกมองว่าเป็นปีศาจเพราะชอบแกล้งมนุษย์ มีพลังมหาศาลมีอิทธิพลต่อธรรมชาติในรูปแบบที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่จะถูกมองว่าเป็นปีศาจ เพราะหลายตัวไม่อันตราย ทำตัวเป็นเพื่อนและช่วยเหลือมนุษย์
- ความเชื่อมโยงกับนิทานพื้นบ้าน : คนในท้องถิ่นมักเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่ได้ยินเสียงกระซิบในสายลม หรือพบเห็นแสงลึกลับในหุบเขาเวลากลางคืน ชาวบ้านล่ำลือกันว่า “หากใครเดินไปมาที่นั่น พวกเขาจะได้ยินเสียงบอกว่า ‘ไปซะ คุณไม่ควรอยู่ที่นี่’”
- ความเชื่อเหนือธรรมชาติ : บางคนเชื่อว่าญินน์ใช้พลังของพวกมันในการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ แต่บางคนก็คิดว่าพวกมันกำลังปกป้องหุบเขา ความลับที่มีแต่พวกมันเท่านั้นที่เข้าใจ
วิทยาศาสตร์เบื้องหลังความลึกลับของหุบเขาแห่งนี้
ผู้คนจำนวนมากต่างเดินทางไปสำรวจหุบเขาลึกลับแห่งนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพื่อไปพิสูจน์ปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าเป็นไปตามเรื่องเล่าของนิทานพื้นบ้าน หรือตามคำร่ำลือที่ชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมาว่าจริงหรือไม่
เหล่าผู้มาเยือนมักจะมาทดลองจอดรถใส่เกียร์ว่าง พร้อมทั้งนั่งบนรถ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะจู่ๆ รถก็แล่นออกไปเองจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีการเหยียบคันเร่งเลยด้วยซ้ำ บางคนก็ทดลองด้วยการเทน้ำลงบนถนน และพบว่าน้ำกลับไหลไปทิศตรงกันข้ามแทนที่จะไหลลงไปตามทางลาด หรือแม้กระทั่งบางคนก็มาตั้งแคมป์ค้างคืนเพื่อจะรอฟังเสียงลี้ลับของญินน์ที่เล่าต่อๆ กันมาก็มี
ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาเรียกปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ว่า ‘แรงโน้มถ่วงย้อนกลับ’
วิทยาศาสตร์อธิบายไว้ว่า การที่รถยนต์แล่นได้เองอัตโนมัติด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนแตะ 120 กม./ชม. นั้น เป็นเพราะแรงแม่เหล็กสูงดึงดูดรถยนต์และล้อ จึงทำให้รถเคลื่อนที่เองได้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวที่คล้ายคลึงกันนี้ยังปรากฏในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ รวมถึงพื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองนัจราน (Najran) และอาซีร์ (Asir) ด้วย
ทฤษฎีอีกประการหนึ่งอธิบายว่า เป็นเพราะ ‘ภาพลวงตา’
วิทยาศาสตร์อธิบายว่า บริเวณหุบเขาแห่งนี้ซึ่งมีสนามแม่เหล็กสูงจะสร้างภาพลวงตาขึ้นในจิตใจและทางสายตา ทำให้ผู้คนมองเห็นทางลาดลงเป็นทางขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าผู้คนจะรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นรถ หรือน้ำไหลขึ้นเนิน ทั้งๆ ที่่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งรถ และน้ำไหลลงเนินต่างหาก
ภาพลวงตาที่ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ผิดเพี้ยนไปนั้นเกิดจากภูมิประเทศโดยรอบไม่ว่าจะเป็น ภูเขา โขดหิน ต้นไม้ และคันดินที่กลมกลืนไปกับเส้นขอบฟ้า และถูกจัดวางในลักษณะที่หลอกตานั่นเอง
เราจะไม่สามารถมองเห็นเนินลาดได้ เนื่องจากตลอดทั้ง 2 ข้างทางระยะทางประมาณ 14 กม. เป็นภูเขา และไม่มีเส้นขอบฟ้าที่จะช่วยให้เรามองเห็นเนินทางลาดได้
แต่อันตรายจากหุบเขานี้ก็มีเช่นกัน!

ผู้มาเยือนเคยเดินๆ อยู่บนถนน แล้วประสบอุบัติเหตุโดนรถบัสที่กำลังแล่นมาชนจนเสียชีวิต หลังจากเกิดเหตุในครั้งนั้น ทางการจึงสั่งห้ามรถบรรทุกทุกประเภท รวมถึงรถบัส ไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวอีก
โปรดจำไว้ว่าการหยุดรถ หรือถอยรถขณะอยู่บนถนนแม่เหล็กแห่งนี้ อาจเป็นอันตรายได้ ควรสตาร์ทรถไว้เสมอ และอย่าดับเครื่องยนต์ เพราะการสตาร์ทรถไว้จะทำให้ควบคุมรถได้ง่ายกว่า