พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ว่า ไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก อดีตนายกรัฐมนตรี ลีกวนยู ผู้ล่วงลับของสิงคโปร์ โดยพิธาตั้งเป้าหมายระยะยาวในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางประชาธิปไตยในประเทศไทย ในขณะที่พรรคก้าวไกลจะยังคงต่อสู้กับการแทรกแซงทางการเมืองของทหารต่อไป
Channel News Asia ระบุว่า สำหรับพิธาแล้วประชาธิปไตยของไทยในวันนี้ถูกจำกัดอยู่เพียงวันเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ และทันทีที่ประชาชนพากันออกไปลงคะแนน มันก็กลายเป็น “การเล่นเกม” สำหรับนักการเมืองซึ่งหลายคนพร้อมจะตระบัดสัตย์คำพูดที่เคยหาเสียงไว้และหักหลังความไว้วางใจของประชาชน
พิธากล่าวโดยอ้างถึงคำพูดของลีกวนยูที่บอกว่าการปกครอง “ไม่ใช่การเล่นเกม แต่เป็นชีวิตคุณและผม” ว่า บรรดานักการเมืองต้องจัดการกับความไว้วางใจของประชาชนอย่างระมัดระวัง “อย่างที่นายกรัฐมนตรีลีกวนยูเคยพูดไว้ มันคือการต่อสู้ดิ้นรนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือความเป็นผู้นำ”
แม้ว่าก้าวไกลจะรวบรวม ส.ส.ได้ถึง 312 เสียง แต่ความพยายามในการผลักดันให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถูกขัดขวางโดย ส.ว.ที่ถูกควบคุมโดยกองทัพและกลุ่มผู้มีอำนาจเก่า จากนั้นพรรคเพื่อไทยก็ฉีกเอ็มโอยูแล้วไปจับมือกับพรรคที่อยู่ฝ่ายเดียวกับกองทัพ ส่งผลให้ก้าวไกลถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับพิธาแล้ว ผลลัพธ์นี้ไม่ได้จำกัดตัวเขา และเขา “ไม่เสียใจเลย” กับสิ่งที่เกิดขึ้น พิธาเผยกับ Channel News Asia ว่า “ผมชนะ แล้วผมก็ถูกสกัด ผมไม่ได้แพ้”
นอกจากนี้ พิธายังเชื่อว่าเวลาอยู่ข้างเขา โดยบอกว่า “การเมือง มันคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การแข่งวิ่งระยะสั้น และผมมีพลังที่จะวิ่งในระยะยาว”
Channel News Asia ระบุต่อว่า การกลับบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่ารัฐบาลใหม่อาจสร้างขึ้นจากความทะเยอทะยานทางการเมืองของชายคนหนึ่งเท่านั้น แต่พิธาหวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาเชื่อว่าควรจัดตั้งรัฐบาลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
“ผมหวังว่ามันจะเป็นไปเพื่อประชาชน เพราะมันคือรัฐบาลที่ได้รับการลงคะแนนจากประชาชนและต้องรับผิดชอบต่อประชาชน และหวังว่ามันจะเป็นไปเพื่อประเทศ ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล”
ส่วนกรณีการแก้มาตร 112 ที่มีการร้องเรียนกับศาลอาญาซึ่งอาจทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบและพิธาถูกตัดสิทธิ์หากศาลตัดสินว่ามีความผิดนั้น ไม่เป็นอุปสรรคต่อความมุ่งมั่นต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาธิปไตยของไทย
พิธาเผยว่า “ภาพของผมสำหรับพรรคคือการเป็นผู้นำที่ไม่มีใครโต้แย้งในระบอบประชาธิปไตยไทย เราต้องสามารถต่อสู้กับการจัดตั้งสถาบันที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเสียงข้างมากที่กำลังเกิดขึ้นสถานะการเมืองไทยในปัจจุบันสามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า เผด็จการของคนส่วนน้อย”
พิธาเผยว่า การที่จะบรรลุผลนั้นได้ พรรคก้าวไกลต้องสร้างผู้นำที่สามารถจุดประกายให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองอย่างที่สะท้อนออกมาในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พิธายังเผยอีกว่า พรรคก้าวไกลมาไกลมากแล้ว และตัวเขาเองก็ตื่นเต้นมากที่พรรคมาได้ไกลถึงขนาดนี้ โดยมีประชาชนอยู่เคียงข้าง และการเป็นพรรคฝ่ายค้านก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคก้าวไกลจะไม่สามารถสร้างคุณค่าให้กับการเมืองไทยได้ ในทางกลับกันพิธาบอกว่า เขามีหน้าที่ต้องผลักดันกฎหมายต่างๆ เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน และตรวจสอบและถ่วงดุลเพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
พิธาทิ้งท้ายไว้ว่า “ทำไมผมถึงลงเลือกตั้งเหรอ? เพื่อเป็นนายกฯ เหรอ? ใช่มั้ย? ไม่ใช่ นายกรัฐมนตรีถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และนั่นคือเป้าหมายสุดท้าย”
Channel News Asia ระบุว่า สำหรับพิธาแล้วประชาธิปไตยของไทยในวันนี้ถูกจำกัดอยู่เพียงวันเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ และทันทีที่ประชาชนพากันออกไปลงคะแนน มันก็กลายเป็น “การเล่นเกม” สำหรับนักการเมืองซึ่งหลายคนพร้อมจะตระบัดสัตย์คำพูดที่เคยหาเสียงไว้และหักหลังความไว้วางใจของประชาชน
พิธากล่าวโดยอ้างถึงคำพูดของลีกวนยูที่บอกว่าการปกครอง “ไม่ใช่การเล่นเกม แต่เป็นชีวิตคุณและผม” ว่า บรรดานักการเมืองต้องจัดการกับความไว้วางใจของประชาชนอย่างระมัดระวัง “อย่างที่นายกรัฐมนตรีลีกวนยูเคยพูดไว้ มันคือการต่อสู้ดิ้นรนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือความเป็นผู้นำ”
แม้ว่าก้าวไกลจะรวบรวม ส.ส.ได้ถึง 312 เสียง แต่ความพยายามในการผลักดันให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถูกขัดขวางโดย ส.ว.ที่ถูกควบคุมโดยกองทัพและกลุ่มผู้มีอำนาจเก่า จากนั้นพรรคเพื่อไทยก็ฉีกเอ็มโอยูแล้วไปจับมือกับพรรคที่อยู่ฝ่ายเดียวกับกองทัพ ส่งผลให้ก้าวไกลถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับพิธาแล้ว ผลลัพธ์นี้ไม่ได้จำกัดตัวเขา และเขา “ไม่เสียใจเลย” กับสิ่งที่เกิดขึ้น พิธาเผยกับ Channel News Asia ว่า “ผมชนะ แล้วผมก็ถูกสกัด ผมไม่ได้แพ้”
นอกจากนี้ พิธายังเชื่อว่าเวลาอยู่ข้างเขา โดยบอกว่า “การเมือง มันคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การแข่งวิ่งระยะสั้น และผมมีพลังที่จะวิ่งในระยะยาว”
Channel News Asia ระบุต่อว่า การกลับบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่ารัฐบาลใหม่อาจสร้างขึ้นจากความทะเยอทะยานทางการเมืองของชายคนหนึ่งเท่านั้น แต่พิธาหวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาเชื่อว่าควรจัดตั้งรัฐบาลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
“ผมหวังว่ามันจะเป็นไปเพื่อประชาชน เพราะมันคือรัฐบาลที่ได้รับการลงคะแนนจากประชาชนและต้องรับผิดชอบต่อประชาชน และหวังว่ามันจะเป็นไปเพื่อประเทศ ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล”
ส่วนกรณีการแก้มาตร 112 ที่มีการร้องเรียนกับศาลอาญาซึ่งอาจทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบและพิธาถูกตัดสิทธิ์หากศาลตัดสินว่ามีความผิดนั้น ไม่เป็นอุปสรรคต่อความมุ่งมั่นต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาธิปไตยของไทย
พิธาเผยว่า “ภาพของผมสำหรับพรรคคือการเป็นผู้นำที่ไม่มีใครโต้แย้งในระบอบประชาธิปไตยไทย เราต้องสามารถต่อสู้กับการจัดตั้งสถาบันที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเสียงข้างมากที่กำลังเกิดขึ้นสถานะการเมืองไทยในปัจจุบันสามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า เผด็จการของคนส่วนน้อย”
พิธาเผยว่า การที่จะบรรลุผลนั้นได้ พรรคก้าวไกลต้องสร้างผู้นำที่สามารถจุดประกายให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองอย่างที่สะท้อนออกมาในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พิธายังเผยอีกว่า พรรคก้าวไกลมาไกลมากแล้ว และตัวเขาเองก็ตื่นเต้นมากที่พรรคมาได้ไกลถึงขนาดนี้ โดยมีประชาชนอยู่เคียงข้าง และการเป็นพรรคฝ่ายค้านก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคก้าวไกลจะไม่สามารถสร้างคุณค่าให้กับการเมืองไทยได้ ในทางกลับกันพิธาบอกว่า เขามีหน้าที่ต้องผลักดันกฎหมายต่างๆ เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน และตรวจสอบและถ่วงดุลเพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
พิธาทิ้งท้ายไว้ว่า “ทำไมผมถึงลงเลือกตั้งเหรอ? เพื่อเป็นนายกฯ เหรอ? ใช่มั้ย? ไม่ใช่ นายกรัฐมนตรีถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และนั่นคือเป้าหมายสุดท้าย”