เสียงลึกลับจากโลกวิญญาณที่นักวิทย์มีคำตอบ…
นักวิจัยเปิดเผยความลับเสียงอันมหัศจรรย์ของ ‘ถ้ำปีศาจ’ (Devil's Church) ที่รู้จักกันในชื่อ ‘ปิรุนเกรียกโก’ (Pirunkirkko) ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโคลิ ทางตะวันออกของฟินแลนด์ ว่ากันว่าที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่รวมตัวของหมอผีในท้องถิ่นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษเพื่อติดต่อกับโลกแห่งวิญญาณด้วยการใช้ ‘เสียง’
และเสียงประหลาดจากพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำนั่นแหละที่นักวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจสอบแล้วพบว่ามันเป็น ‘เสียงสะท้อน’ จากภายในถ้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าอาจสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณ
ถ้ำดังกล่าวมีลักษณะเป็นรอยแตกรูปตัว Z ความยาวเพียง 112 ฟุต (34 เมตร) โดยทุกๆ ปี จะมีผู้เยี่ยมชมหลายพันคนเดินทางมาที่นี่ด้วยความหวังว่าจะได้พูดคุยกับปีศาจ ทว่าในนิทานพื้นบ้านโบราณ ถ้ำแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ที่เหล่าหมอผีท้องถิ่นจะมาพบปะเพื่อติดต่อกับโลกวิญญาณอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายคนหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ ‘คิโนไลเนน’ มักจะใช้ถ้ำปีศาจประกอบพิธีกรรมเวทย์มนตร์เป็นประจำ “คิโนไลเนนจะพาคนไข้ของเขาไปที่ถ้ำเพื่อพูดคุยกับปีศาจเกี่ยวกับสาเหตุและการรักษาโรคของพวกเขา…พิธีกรรมการรักษาแบบนี้มักรวมถึงการตะโกนเสียงดัง การกระทืบ การยิง และการทุบตี” ริทต้า ไรนิโอ นักวิจัยด้านโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิกล่าว
ขณะที่การศึกษาครั้งใหม่นี้ นักวิจัยได้ตั้งเป้าจะสำรวจว่า ‘คุณสมบัติทางเสียงของถ้ำสามารถอธิบายความเชื่อที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่?’
นักวิจัยได้ทำการวัดเสียงในถ้ำ และพบว่ามีปรากฏการณ์การสั่นพ้องที่รุนแรง (resonance phenomenon) ซึ่งนักวิจัยกล่าวว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากคลื่นนิ่ง (standing wave) ระหว่างผนังถ้ำทั้งสองที่ค่อนข้างใกล้และขนานกัน ทำให้เกิดเสียงที่ความถี่ระหว่าง 219-232 เฮิร์ตซ์ ซึ่งหมายความว่าเสียงใดๆ ที่เกิดขึ้นในความถี่เหล่านี้จะถูกขยายให้ยาวขึ้นภายในถ้ำ
ทั้งนี้ เสียงสะท้อนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้น แต่ค่อนข้างไม่บ่อยในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สาเหตุหลักมาจากไม่มีพื้นผิวที่แข็งและขนานกัน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่หายากนี้ นักวิจัยจึงเสนอว่า ‘เสียงสะท้อนภายในถ้ำอาจส่งผลต่อความรู้สึกของผู้มาเยือนถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณ’ โดยยกตัวอย่างถ้ำยุคหินเก่าของฝรั่งเศสและสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณใกล้กับภาพวาดฝาผนังก็แสดงเสียงสะท้อนที่คล้ายกันเช่นเดียวกัน
“การศึกษาเกี่ยวกับเสียงถือเป็นเครื่องมือใหม่ในการตรวจสอบและทำความเข้าใจความเชื่อและประสบการณ์ทางศาสนาที่ปรากฏในถ้ำปิรุนเกรียกโกและสถานที่ที่คล้ายกัน นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่ากรอบความคิดทางวัฒนธรรมชี้นำการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของเราซึ่งนำไปสู่ประสบการณ์และการตีความที่แตกต่างกันได้อย่างไร” นักวิจัยกล่าว
