เว็บไซต์ Council on Foreign Relations (CFR) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในสหรัฐฯ เขียนถึงการเมืองไทยหลังพรรคเพื่อไทยฉีก MOU 8 พรรค ว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกล โดยส่ง เศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และดูเหมือนกือบจะแน่นอนแล้วว่าเศรษฐาจะได้รับการรับรองให้นั่งเก้าอี้นายกฯ เนื่องจากพรรคก้าวไกลถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน
CFR บอกอีกว่า การที่พรรคก้าวไกลได้เสียงข้างมากในสภา แต่การที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องได้เสียงจาก สส. และ สว.รวมกัน 376 เสียงจึงจะได้เป็นนายกฯ เปิดช่องให้ฝ่ายอนุรักษนิยม และ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งของกองทัพมีอำนาจล้นเหลือในการกำหนดหน้าตาของสภาฯ
เป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่พรรคเพื่อไทยเป็นที่รู้จักในนามพรรคที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย จนถูกทำรัฐประหารถึง 2 ครั้ง และยังถูกมองว่าเป็นพรรคหลักของฝ่ายประชาธิปไตย แต่ถึงอย่างนั้นพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่เคยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสถาบันที่สำคัญ อย่างการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
CFR ระบุว่า ตอนนี้หลังจากทิ้งพรรคก้าวไกลและสร้างพันธมิตรกับพรรคที่เก่าแก่และค่อนข้างอนุรักษนิยมหลายพรรค พรรคเพื่อไทยได้สละสิทธิ์การเป็นพรรคประชาธิปไตยไปแล้ว พรรคเพื่อไทยจะถูกมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่เคารพเจตจำนงของประชาชนมานานหลายปีแล้ว
CFR ระบุต่อว่า พรรคเพื่อไทยยังพอมีเครดิตอยู่บ้างที่ไม่ยอมให้พรรคที่ฝักใฝ่ทหารอย่างเปิดเผยเข้าร่วมรัฐบาล และยังรับปากว่าจะทำประชามติว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งหากคนไทยลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อไทยอ้างว่าจะยุบสภาฯ
ขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แสดงว่าพรรคเพื่อไทยอาจตระหนักว่าการกระทำของตัวเองดูไม่ดีสำหรับนักประชาธิปไตยชาวไทยจำนวนมาก และกำลังพยายามแสดงให้เห็นว่าพรรคยังคงมีวิสัยทัศน์ของประชาธิปไตยไทยอยู่
CFR ระบุว่า แต่คนไทยหลายๆ คน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ก้าวข้ามแนวทางนโยบายเดิมของพรรคเพื่อไทยไปแล้ว และต้องการปฏิรูปสถาบันหลักๆ รวมทั้งสถาบันกษัตริย์ นี่คือเหตุผลว่าแม้ว่าผลโพลล์เบื้องต้นจะออกมาว่าเพื่อไทยจะครองการเลือกตั้ง แต่กลับทำผลงานออกมาได้ไม่ดี และคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลคืออนาคตของการเมืองไทย
CFR บอกอีกว่า การที่พรรคก้าวไกลได้เสียงข้างมากในสภา แต่การที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องได้เสียงจาก สส. และ สว.รวมกัน 376 เสียงจึงจะได้เป็นนายกฯ เปิดช่องให้ฝ่ายอนุรักษนิยม และ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งของกองทัพมีอำนาจล้นเหลือในการกำหนดหน้าตาของสภาฯ
เป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่พรรคเพื่อไทยเป็นที่รู้จักในนามพรรคที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย จนถูกทำรัฐประหารถึง 2 ครั้ง และยังถูกมองว่าเป็นพรรคหลักของฝ่ายประชาธิปไตย แต่ถึงอย่างนั้นพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่เคยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสถาบันที่สำคัญ อย่างการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
CFR ระบุว่า ตอนนี้หลังจากทิ้งพรรคก้าวไกลและสร้างพันธมิตรกับพรรคที่เก่าแก่และค่อนข้างอนุรักษนิยมหลายพรรค พรรคเพื่อไทยได้สละสิทธิ์การเป็นพรรคประชาธิปไตยไปแล้ว พรรคเพื่อไทยจะถูกมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่เคารพเจตจำนงของประชาชนมานานหลายปีแล้ว
CFR ระบุต่อว่า พรรคเพื่อไทยยังพอมีเครดิตอยู่บ้างที่ไม่ยอมให้พรรคที่ฝักใฝ่ทหารอย่างเปิดเผยเข้าร่วมรัฐบาล และยังรับปากว่าจะทำประชามติว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งหากคนไทยลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อไทยอ้างว่าจะยุบสภาฯ
ขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แสดงว่าพรรคเพื่อไทยอาจตระหนักว่าการกระทำของตัวเองดูไม่ดีสำหรับนักประชาธิปไตยชาวไทยจำนวนมาก และกำลังพยายามแสดงให้เห็นว่าพรรคยังคงมีวิสัยทัศน์ของประชาธิปไตยไทยอยู่
CFR ระบุว่า แต่คนไทยหลายๆ คน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ก้าวข้ามแนวทางนโยบายเดิมของพรรคเพื่อไทยไปแล้ว และต้องการปฏิรูปสถาบันหลักๆ รวมทั้งสถาบันกษัตริย์ นี่คือเหตุผลว่าแม้ว่าผลโพลล์เบื้องต้นจะออกมาว่าเพื่อไทยจะครองการเลือกตั้ง แต่กลับทำผลงานออกมาได้ไม่ดี และคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลคืออนาคตของการเมืองไทย
