วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักธุรกิจ นักลงทุนผู้ใจบุญชาวอเมริกันและซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) วัย 93 ปีแสดงความกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ณ เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา
“เราปล่อยจินนี่ออกมาจากขวดเมื่อเราพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์…AI ก็ค่อนข้างคล้ายกัน มันกำลังออกมาจากขวด”
บัฟเฟตต์กล่าวเมื่อวันเสาร์ (4 พ.ค.)
บัฟเฟตต์ยอมรับว่าเขากังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง AI และกลัวผลสะท้อนที่อาจเกิดขึ้น ทั้งภาพและเสียงของเขาถูกจำลองโดยเครื่องมือ AI เมื่อเร็วๆ นี้ และมันก็น่าเชื่อมากจนสามารถหลอกครอบครัวของเขาเองได้ บัฟเฟตต์เสริมว่า “การหลอกลวงโดยใช้ของปลอมที่ล้ำลึกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะแพร่หลายมากขึ้น”
บัฟเฟตต์ยังยอมรับด้วยว่าเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ แต่เขายังไม่เชื่อ
“มันมีศักยภาพมหาศาลในการใช้ประโยชน์ แต่ก็มีศักยภาพมหาศาลสำหรับอันตรายด้วยเช่นกัน…ผมแค่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง”
บัฟเฟตต์กล่าว
รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุว่า “การแพร่หลายของ AI ได้เปลี่ยนสถานที่ทำงานทั่วโลกไปแล้ว และเกือบ 40% ของการจ้างงานทั่วโลกอาจถูกขัดขวางโดย AI” อุตสาหกรรมตั้งแต่การแพทย์ไปจนถึงการเงิน และดนตรีได้รับผลกระทบแล้ว
ขณะเดียวกันก็พบว่าหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกระแส AI พุ่งสูงขึ้น โดยผู้ผลิตชิปอินวิเดีย (Nvidia / NVDA) เพิ่มขึ้นประมาณ 215% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นของไมโครซอฟท์ (Microsoft / MSFT) เพิ่มขึ้นประมาณ 34% ส่วนหุ้นของบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (BRK.A) เพิ่มขึ้น 22% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ไม่ใช่แค่บัฟเฟตต์ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับกลโกง ‘AI’

เจมี ไดมอน นายธนาคาร นักธุรกิจชาวอเมริกัน และซีอีโอของบริษัทการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกเจพีมอร์แกนเชส (JPMorgan Chase) กล่าวในจดหมายผู้ถือหุ้นประจำปีของเขาเมื่อเดือนที่แล้วว่า ในขณะที่เขายังไม่รู้ว่า AI จะมีผลกระทบอย่างเต็มที่ต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ หรือสังคม แต่เขารู้ว่า ‘อิทธิพลของ AI จะมีนัยสำคัญ’
“เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าผลที่ตามมาจะไม่ธรรมดาและอาจเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีที่สำคัญในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ลองนึกถึงแท่นพิมพ์ เครื่องจักรไอน้ำ ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต และอื่นๆ อีกมากมาย” ไดมอนเขียนในจดหมาย
นอกจากนี้ ไดมอนยังตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความเจริญรุ่งเรืองของ AI ด้วยว่า “คุณอาจทราบอยู่แล้วว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีที่ใช้ AI แทรกซึมระบบของบริษัทเพื่อขโมยเงินและทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพียงแค่ทำให้เกิดการหยุดชะงักและความเสียหาย”
เมื่อช่วงเดือนมกราคม ทางบริษัท JPMorgan Chase กล่าวว่า “พบแฮกเกอร์พยายามแทรกซึมระบบของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละวันในปีที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำถึงความท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งธนาคารและบริษัทอื่นๆ กำลังเผชิญอยู่”
ไดมอนเสริมว่า “JPMorgan Chase กำลังสำรวจศักยภาพของนวัตกรรม ‘generative AI’ ภายในระบบนิเวศของตัวเอง ทั้งวิศวกรรมซอฟต์แวร์ การบริการลูกค้าและการปฏิบัติงาน รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานทั่วไป ล้วนได้รับการปรับปรุงโฉมด้วย AI”
ผลการสำรวจซีอีโอที่เผยแพร่ให้สำนักข่าว CNN ในการประชุม ‘Yale CEO Summit’ เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วพบว่า “42% ของซีอีโอบอกว่า AI มีศักยภาพที่จะทำลายมนุษยชาติในอีก 5 ถึง 10 ปีนับจากนี้”
ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์จากมหาวิทยาลัยเยลเผยว่าการสำรวจนี้รวมคำตอบจากซีอีโอ 119 รายจากทุกส่วนของธุรกิจ รวมถึง ดั๊ก แม็คมิลลอน ซีอีโอของวอลมาร์ต (Walmart), เจมส์ ควินซีย์ ซีอีโอของโคคา-โคลา (Coca-Cola), ผู้นำของบริษัทไอทีต่างๆ อย่าง ซีร็อกซ์ (Xerox) และซูม (Zoom), ซีอีโอจากเภสัชกรรม สื่อ และการผลิต
ผู้นำอุตสาหกรรม AI รวมถึงนักวิชาการหลายสิบคน และแม้แต่คนดังได้ลงนามในแถลงการณ์เตือนถึงความเสี่ยง ‘สูญพันธุ์’ จาก AI
คำแถลงดังกล่าว ซึ่งลงนามโดย แซม อัลท์แมน ซีอีโอของโอเพนเอไอ (OpenAI), เจฟฟรีย์ ฮินตัน นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และผู้บริหารระดับสูงจากกูเกิล (Google) และไมโครซอฟท์เรียกร้องให้สังคมดำเนินการเพื่อป้องกันอันตรายของ AI
“การลดความเสี่ยงการสูญพันธุ์จาก AI ควรเป็นเรื่องสำคัญระดับโลกควบคู่ไปกับความเสี่ยงระดับสังคมอื่นๆ เช่น การระบาดใหญ่และสงครามนิวเคลียร์”
แถลงการณ์ระบุ