ในที่สุดหลายคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองในสหรัฐฯ และอยากได้คำตอบว่า พรรครีพับลิกันจะเลือกใครมาเป็นคู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มั่นใจมากว่าศึกเลือกตั้งครั้งนี้เขาจะได้กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ก็ได้คำตอบ เมื่อทรัมป์ ประกาศเลือก “เจดี แวนซ์” นักประพันธ์หนังสือ นักลงทุนด้านเงินทุน และวุฒิสมาชิกนักต่อสู้จากรัฐโอไฮโอ เป็นคู่ชิงชัยตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งเดือนพ.ย.นี้
บรรดาผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า การตัดสินใจเลือกแวนซ์เป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของทรัมป์ จากก่อนหน้านี้ที่คู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีคือ “ไมค์ เพนซ์” ถูกวิจารณ์ว่ามีอิทธิพลน้อยในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์
การเลือกแวนซ์ของทรัมป์ครั้งนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณว่าทรัมป์พร้อมเดินหน้านโยบายทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งและถือเป็นการแหกกฏเก่าๆ ในการเลือกคู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน
อัลเลน ลิชท์แมน อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์สหรัฐฯ จากอเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้ ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ข่าวอัลจาซีราห์ว่า แวนซ์ไม่น่าจะดึงดูดใจบรรดาผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในรัฐสวิงสเตท หรือคนที่ยังคลางแคลงสงสัยเกี่ยวกับนโยบายทางการเมืองของทรัมป์
“ผมไม่คิดว่าการเลือกแวนซ์จะส่งผลใดๆ ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่การเลือกเขามาเป็นคู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกอะไรมากมายเกี่ยวกับพรรครีพับลิกันและทรัมป์” ลิชท์แมนกล่าว
ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนมองว่า แวนซ์จะเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ในขณะที่สังคมอเมริกันกำลังเบื่อหน่ายกับนักการเมืองหน้าเก่า และเริ่มให้ความสำคัญกับอายุของผู้สมัคร นอกจากนี้ พื้นเพของเขาก็ยังน่าสนใจมากๆ
“สิ่งที่ทำให้เขาน่าสนใจสำหรับทรัมป์ และรีพับลิกัน คือ เขามีพื้นเพจากชนชั้นแรงงานจริงๆ และแม้ว่าเขาจะเป็นทนายความที่จบจากเยล เป็นทนายความจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่เขาก็ยังคงรักษาความน่าเชื่อถือและสายสัมพันธ์กับกลุ่มคนในชนบทเอาไว้ได้” นักวิเคราะห์ผู้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อ ให้ความเห็น
แวนซ์เรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเยล เพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกตั้งกลางเทอม เมื่อปี 2022 และมีประสบการณ์การทำงานเป็น สว.แค่เพียง 1 ปีครึ่ง
ก่อนเข้าสู่แวดวงการเมือง แวนซ์เป็นนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ ทั้งยังเคยเป็นนักวิจารณ์ทรัมป์ตัวยง และเป็นกระบอกเสียงสำคัญของการเคลื่อนไหวต่อต้านทรัมป์ ภายใต้สโลแกน เนเวอร์ ทรัมป์ (ไม่เลือกทรัมป์) ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
นอกจากนี้ แวนซ์ยังเคยวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ในช่วงปี 2016-2017 เช่น โพสต์ว่าทรัมป์กระทำการ “ข่มขืนต่อเนื่อง” “เป็นเซเลบที่ชั่วร้าย ผู้คนเกลียดชัง และน่ารำคาญที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ”
แวนซ์เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับประเทศ หลังจากตีพิมพ์หนังสือบันทึกความทรงจำ “Hillbilly Elegy” ซึ่งต่อมาเป็นหนังสือติดอันดับขายดีในสหรัฐฯ และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่บอกเล่าชีวิตยากจนวัยเด็กในแถบเมืองอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ทางตะวันออกของโอไฮโอ ฉายภาพการต่อสู้ของชนชั้นพนักงานออฟฟิศอเมริกา
ความเข้าอกเข้าใจในประชากรกลุ่มนี้ทำให้แวนซ์สนับสนุนทรัปม์ตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรก และได้รับเชิญเข้ารายการเคเบิลทีวีอยู่บ่อยๆ จนเป็นผู้สื่อข่าวพิเศษของซีเอ็นเอ็นระหว่างปี 2017-2018
หนังสือบันทึกความทรงจำถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ทางช่องเน็ตฟลิกซ์ในปี 2020 นำแสดงโดยเอมี อดัมส์ และเกล็นน์ โคลส

แวนซ์เปลี่ยนท่าทีมาสนับสนุนทรัมป์ในการเลือกตั้ง สว.กลางเทอมเมื่อปี 2022 ซึ่งทรัมป์ก็ช่วยแวนซ์ลงพื้นที่หาเสียงด้วย
จากนั้นแวนซ์ก็กลายมาเป็นพันธมิตรที่จงรักภักดี และสนับสนุนแนวคิดทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ของทรัมป์ โดยเฉพาะในประเด็นการค้า นโยบายต่างประเทศ และผู้อพยพ
ที่สำคัญ แวนซ์เป็นหนึ่งใน สว.รีพับลิกันที่ยืนเคียงข้างทรัมป์ที่ศาลนิวยอร์ก ระหว่างการพิจารณาคดีปลอมแปลงเอกสารเพื่อปกปิดการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังโป๊ จนนักวิเคราะห์ยกให้เขาเป็นหนึ่งในม้ามืดที่มีโอกาสกลายเป็นคู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีกับทรัมป์
สำหรับจุดยืนในประเด็นต่างๆ เช่น เรื่องการทำแท้ง แวนซ์เห็นด้วยทรัมป์ที่ประกาศว่าสิทธิการทำแท้งควรให้แต่ละรัฐตัดสินใจ และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านนโยบายมอบเงินช่วยเหลือต่างประเทศ โดยเฉพาะการออกกฎหมายเพิ่มความช่วยเหลือยูเครน ในการทำสงครามกับรัสเซีย
แวนซ์กล่าวว่า สหรัฐฯ ได้ให้การคุ้มครองแก่ยุโรปมานานเกินไป และเรียกร้องให้พันธมิตรในยุโรปเพิ่มบทบาทในการสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครนและหลังจากการรุกรานของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ไม่นาน แวนซ์ก็ประกาศอย่างตรงไปตรงมา ว่า เขาไม่สนใจจริงๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับยูเครน
ขณะเดียวกัน แวนซ์ยังคงยืนกรานว่าเขาไม่ได้สนับสนุนให้สหรัฐฯ ละทิ้งยุโรปแต่ต้องการเน้นย้ำถึงสิ่งที่เห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ มากขึ้น นั่นคือการแข่งขันกับจีน
แวนซ์ อธิบายจุดยืนเกี่ยวกับจีนว่า การสนับสนุนภาคการผลิตของสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นหนทางต่อต้านการเติบโตของจีน และเห็นว่า สหรัฐฯ ควรผลิตสินค้าให้มากขึ้นแม้จะแลกมาด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่เพิ่มขึ้นสองสามจุด เเละยังเชื่อว่าการเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับ มิชิแกน โอไฮโอ และเพนซิลเวเนีย
นอกจากนี้ เขายังยกย่องกฎหมาย CHIPS and Science Act ปี 2022 ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ เพื่อให้สหรัฐฯ สามารถแข่งขันกับจีนและประเทศอื่นๆ ได้ดีขึ้น
Photo by Jim WATSON / AFP