‘แค่บวช…ก็ถือว่า ‘ชดเชย’ ความผิดได้?’
หรือเป็นการแสดงความ ‘จริงใจที่จะขอโทษ’Time ระบุว่า จากกรณีที่เกิดเหตุเรื่องร้ายแรงเมื่อถังดับเพลิงระเบิดขณะที่มีการสาธิตการใช้งานในโรงเรียนราชวินิต กรุงเทพฯ ซึ่งทำให้นักเรียนเสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บอีกประมาณ 10 ราย
แม้ว่าอุบัติเหตุดังกล่าวจะจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของถังดับเพลิงที่ใช้ในห้องเรียน ขณะที่คนอื่นๆ กำลังเรียกร้องความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของนักเรียน แต่บางคนกลับเลือกที่จะชดใช้ด้วยวิธีแบบไทยๆ นั่นก็คือ การบวชเป็นพระสงฆ์เพียงชั่วขณะหนึ่ง
ในงานศพของเด็กชายวัย 18 ปี ปรากฏให้เห็นพนักงานดับเพลิง 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุสลดครั้งนั้นซึ่งถูกตั้งข้อหาว่าประมาทเลินเล่ออยู่ในสภาพโกนหัวและสวมจีวรเหลือง ตามธรรมเนียมแล้วเรียกว่า ‘การบวชหน้าไฟ’ หรือ ‘บวชหน้าศพ’
คำถามก็คือ ‘การบวชเป็นพระสงฆ์ = วิธีการแก้บาปที่แปลกใหม่?’
ทว่าดูเหมือนว่าการปฏิบัติดังกล่าวนั้นกลายเป็นเรื่องปกติในประเทศไทยซะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ที่สร้างความเสียหายในทางสาธารณะ ซึ่งสำหรับชาวพุทธแล้ว การบวชเป็นวิธีการสูงสุดในการแสดงความจริงใจและการขอโทษ
แต่บางคนก็กังวลว่า การบวชในลักษณะนี้กลับกลายเป็นวิธีที่คนผิดเลือกใช้มากขึ้นเพื่อบำบัดพฤติกรรมที่ไม่ดี และทำให้ชื่อเสียงของพระพุทธศาสนาเสื่อมเสียไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็ยิ่งทำให้ผู้ที่เดิมทีก็ไม่ศรัทธาอยู่แล้วยิ่งไม่ชอบศาสนาพุทธเข้าไปใหญ่
“แม้ว่าตามธรรมเนียมแล้วพิธีกรรม ‘การบวชหน้าไฟ’ นี้จะสงวนไว้สำหรับญาติทางสายโลหิตของผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่บางครั้งก็ขยายไปถึงผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวด้วย…ในทางปฏิบัติ วัดไทยจะอนุญาตให้ใครก็ตามบวชหน้าไฟได้ไม่กี่วัน 1 สัปดาห์ หรือ 2-3 เดือน โดยครอบครัวของผู้ตายจะเป็นผู้ยินยอม” เกษวดี กุหลาบแก้ว นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาของไทยกล่าวกับสำนักข่าว TIME
อย่างไรก็ดี เพราะการเข้าอุปสมบทและการลาสิกขาจากการเป็นพระภิกษุนั้นมีอุปสรรคน้อย และหลายคนในประเทศไทยก็เลือกที่จะบวชเป็นพระด้วยเหตุผลหลายประการ แต่โดยปกติแล้วก็เพื่อ ‘ทำบุญ’ หรือ ‘บวชทดแทนพระคุณพ่อแม่’ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติของชาวพุทธในการสั่งสมกรรมดี
“คำสอนทางพุทธศาสนาดั้งเดิมกล่าวว่าการบวชเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ซึ่งสามารถส่งต่อไปยังผู้ตายในโลกหน้าได้) แต่ไม่สามารถลบล้างบาปของใครได้ ดังนั้นการบวชในงานศพจึงเป็นการชดเชยมากกว่าการไถ่บาป”
“เพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่าคุณรู้สึกเสียใจ ห่วงใย หรือขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อผู้วายชนม์ การบวชจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา” เกษวดีกล่าว
‘บวชแก้บน’ และแสดงความ ‘ขอบคุณอย่างสุดซึ้ง’
นอกจากนี้ ในอีกกรณีหนึ่งเมื่อย้อนกลับไปในปี 2018 ที่ทีมฟุตบอลเยาวชนติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนเป็นเวลานานถึง 9 วันและสามารถออกมาได้ด้วยการช่วยเหลือจากทีมกู้ภัยมากมายหลายประเทศ
ทว่าหลังจากภารกิจปฏิบัติการกู้ภัยที่สะเทือนขวัญคนทั้งโลกเสร็จสิ้นลง เด็กๆ ก็บวชเป็นสามเณรและใช้ชีวิตอยู่ที่วัดนานกว่า 1 สัปดาห์เพื่อแก้บนที่ครอบครัวของพวกเขาขอสิ่งศักสิทธิ์ไว้เพื่อแลกกับการกลับมาอย่างปลอดภัยและเพื่อเป็นเกียรติแก่อาสาสมัครนักดำน้ำที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจ

“ชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในเวลานี้ ประสบการณ์นี้จะช่วยให้พวกเขาเห็นคุณค่าพ่อแม่และทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสพระธรรม” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบอกกับนักข่าวในเวลานั้น
สมภาร พรมทา อาจารย์ประจำสาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยกล่าวกับ TIME ว่า “เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะแสวงหาการอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในช่วงเวลาจำกัดหลังจากสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น เพื่อเป็นการ ‘แสดงความรับผิดชอบทางศีลธรรม’ และ ‘ทำบุญให้กับผู้ที่ได้รับอันตรายจากพวกเขา’”
“การบวชแบบนี้มักใช้เวลาสั้นๆ โดยปกติประมาณ 7 วัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นรู้สึกดีทั้งต่อตนเองและผู้ถูกทำร้าย”
บวชเพื่อ ‘ชดเชยความผิด’?
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตกเป็นข่าวดังในประเทศไทยต้องย้อนกลับไปในปี 2019 เมื่อนักธุรกิจผู้มั่งคั่งต้องบวชเป็นพระหลังตกเป็นข่าวเมาแล้วขับเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย นอกจากนี้เขายังตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวน 45 ล้านบาทเพื่อชดเชยความเสียหายให้กับครอบครัวของเหยื่ออีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทว่าการบวชก็ไม่ได้มาพร้อมกับการให้อภัยในหมู่มวลสาธารณชนเสมอไป อย่างในปีที่แล้ว (2022) จากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกครั้งที่สร้างความเดือดดาลให้กับคนไทยทั้งประเทศ หลังตำรวจหนุ่มนายหนึ่งซิ่งมอเตอร์ไซค์พุ่งชนหมอหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตบนทางม้าลาย (คดีหมอกระต่าย) แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทั้งเขาและพ่อได้บวชเป็นพระเพื่อทำบุญให้กับเหยื่อ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธของสาธารณชนหยุดเดือดพล่านลงได้เลย
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนของเมืองและผู้ขับขี่ที่ประมาทเลินเล่อ ขณะที่ตำรวจวัย 21 ปีรายนี้ยังถูกกดดันให้สึกจากการเป็นพระสงฆ์หลังจากบวชได้เพียง 3 วัน เนื่องจากประชาชนแสดงความกังวลว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะบวช
“คนไทยจำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าการทำบุญสามารถชดเชยได้เมื่อพวกเขาทำผิดพลาด ราวกับว่าอาชญากรรมและการทำบุญเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน”
สมภาร พรมทา อาจารย์ประจำสาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยกล่าวกับ TIME ว่า “เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะแสวงหาการอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในช่วงเวลาจำกัดหลังจากสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น เพื่อเป็นการ ‘แสดงความรับผิดชอบทางศีลธรรม’ และ ‘ทำบุญให้กับผู้ที่ได้รับอันตรายจากพวกเขา’”
“การบวชแบบนี้มักใช้เวลาสั้นๆ โดยปกติประมาณ 7 วัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นรู้สึกดีทั้งต่อตนเองและผู้ถูกทำร้าย”
บวชเพื่อ ‘ชดเชยความผิด’?
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตกเป็นข่าวดังในประเทศไทยต้องย้อนกลับไปในปี 2019 เมื่อนักธุรกิจผู้มั่งคั่งต้องบวชเป็นพระหลังตกเป็นข่าวเมาแล้วขับเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย นอกจากนี้เขายังตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวน 45 ล้านบาทเพื่อชดเชยความเสียหายให้กับครอบครัวของเหยื่ออีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทว่าการบวชก็ไม่ได้มาพร้อมกับการให้อภัยในหมู่มวลสาธารณชนเสมอไป อย่างในปีที่แล้ว (2022) จากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกครั้งที่สร้างความเดือดดาลให้กับคนไทยทั้งประเทศ หลังตำรวจหนุ่มนายหนึ่งซิ่งมอเตอร์ไซค์พุ่งชนหมอหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตบนทางม้าลาย (คดีหมอกระต่าย) แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทั้งเขาและพ่อได้บวชเป็นพระเพื่อทำบุญให้กับเหยื่อ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธของสาธารณชนหยุดเดือดพล่านลงได้เลย
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนของเมืองและผู้ขับขี่ที่ประมาทเลินเล่อ ขณะที่ตำรวจวัย 21 ปีรายนี้ยังถูกกดดันให้สึกจากการเป็นพระสงฆ์หลังจากบวชได้เพียง 3 วัน เนื่องจากประชาชนแสดงความกังวลว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะบวช
“คนไทยจำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าการทำบุญสามารถชดเชยได้เมื่อพวกเขาทำผิดพลาด ราวกับว่าอาชญากรรมและการทำบุญเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน”
ทัศนคตินี้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อสังคม เนื่องจากเป็นการตอกย้ำแนวคิดที่ว่า ใครก็ตามตั้งแต่บุคคลธรรมดาไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองสามารถแลกหนี้กรรมของตนได้ด้วยการแสดงความรู้สึกผิดต่อสาธารณะ แต่ยังคงทำผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมแบบเดิมซ้ำอีก
คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เขียน
ภายใต้ผ้าเหลืองนั้น…เป็นที่ซ่อนตัวของ ‘อาชญากร’ ด้วย

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ชื่อเสียงของพระสงฆ์ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่จำเป็นต้องอยู่ในฐานะพระสงฆ์ (ชายผ้าเหลือง) ชั่วคราวในบางช่วงของชีวิต (บวชทดแทนคุณ)
แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าอาชญากรบางคนก็หลบภัยจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์เพื่อหลบหนีตำรวจและปลีกตัวออกจากโลกภายนอก ในขณะเดียวกันก็มีรายงานเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่กระทำผิดทางอาญาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่การฟอกเงินไปจนถึงการค้ายาเสพติด หรือแม้กระทั่งการฆาตกรรม
เมื่อมีข่าวในลักษณะนี้หลุดออกมาบ่อยครั้ง มันจึงบั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อพระสงฆ์ตามไปด้วย
แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าอาชญากรบางคนก็หลบภัยจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์เพื่อหลบหนีตำรวจและปลีกตัวออกจากโลกภายนอก ในขณะเดียวกันก็มีรายงานเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่กระทำผิดทางอาญาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่การฟอกเงินไปจนถึงการค้ายาเสพติด หรือแม้กระทั่งการฆาตกรรม
เมื่อมีข่าวในลักษณะนี้หลุดออกมาบ่อยครั้ง มันจึงบั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อพระสงฆ์ตามไปด้วย