UN เตือนแรง ‘ฟอสซิล’ ไม่ใช่แค่เรื่องโลกร้อน แต่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

23 มิ.ย. 2568 - 03:41

  • ทำไม ฟอสซิล = การละเมิดสิทธิมนุษยชน ?

  • สหประชาชาติออกโรงเตือนทั่วโลก หลังรายงานล่าสุดชี้ “เชื้อเพลิงฟอสซิล” ไม่ได้ทำร้ายแค่โลก แต่โยงกลุ่มเปราะบาง และส่งผลระยะยาวถึงคนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิด

  • ผ่ากลยุทธ์ถ่วงเวลา ตำราลับของอุตสาหกรรมฟอสซิลที่ต้องถูกเปิดโปง

UN เตือนแรง ‘ฟอสซิล’ ไม่ใช่แค่เรื่องโลกร้อน แต่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ท่ามกลางความร้อนระอุของสงคราม ความต้องการพลังงาน และเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล่าสุด รายงานสำคัญจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) รหัส A/HRC/59/42 ได้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการ โดยเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ยุติโครงสร้างพื้นฐานของพลังงานฟอสซิลทั้งหมดภายในทศวรรษนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือการสร้างท่อส่งและโรงงานเผาไหม้ใหม่ พร้อมชี้ให้เห็นถึงความเร่งด่วนของการยุติการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล หากมนุษยชาติยังต้องการรักษาโลกให้น่าอยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไป

“นี่ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอน แต่คือการหยุดยั้งความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์”

เนื้อหาที่ระบุในรายงานฉบับนี้ ซึ่งจัดทำโดย Elisa Morgera ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม

ฟอสซิล = การละเมิดสิทธิมนุษยชน ?

รายงานเน้นว่า ทุกขั้นตอนของอุตสาหกรรมฟอสซิล ตั้งแต่การสำรวจ ขุดเจาะ สร้างท่อ และการแปรรูป ส่งผลต่อสุขภาพ ชีวิต และวัฒนธรรมของประชาชน โดยเฉพาะใน Sacrifice Zones หรือ เขตเสียสละ ที่มักเป็นพื้นที่ของคนจน ชุมชนชนพื้นเมือง หรือกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ

สารพิษ มลภาวะ แสง เสียง รังสี น้ำเสีย และการสูญเสียพื้นที่ทำกิน คือความจริงที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญ แลกกับไฟฟ้าหรือพลังงานที่ใช้ในเมือง

เราไม่อาจ “ดักจับคาร์บอน” เพื่อแก้ปัญหาได้หมด หากยังคงมองข้ามความเจ็บปวดของผู้คนใน เขต Sacrifice Zones ที่ต้องแบกรับผลกระทบจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และการสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิมเพื่อแลกกับพลังงานราคาถูก

รายงานระบุ

UN เตือนแรง ‘ฟอสซิล’ ไม่ใช่แค่เรื่องโลกร้อน แต่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
UN เตือนแรง ‘ฟอสซิล’ ไม่ใช่แค่เรื่องโลกร้อน แต่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

วงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล

ผลกระทบตลอดวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่แผ่ขยายไปยังการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การปนเปื้อนของน้ำและดิน โรคเรื้อรังจากมลพิษทางอากาศ รวมถึงการรุกรานพื้นที่ของกลุ่มชนพื้นเมืองและเกษตรกรรายย่อย ทำให้เกิดภาวะไร้ที่อยู่อาศัย สูญเสียแหล่งทำกิน และวิถีชีวิตวัฒนธรรม

การปล่อยให้โครงสร้างพื้นฐานฟอสซิลทำงานจนหมดอายุการใช้งานทางเทคนิค จะส่งผลให้โลกไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ต่ำกว่า 1.5°C ได้อีกต่อไป และจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในระดับที่ไม่อาจย้อนคืนได้

กลยุทธ์ถ่วงเวลา ตำราลับของอุตสาหกรรมฟอสซิลที่ต้องถูกเปิดโปง

กว่า 60 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้วางรากฐานของ “แผนสกัดกั้น” ผ่านการบิดเบือนข้อมูล ปกปิดความจริง และแทรกแซงนโยบายสาธารณะ โดยรู้ทั้งรู้ถึงผลกระทบร้ายแรงของก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แต่ยังเดินหน้าหาผลกำไร ผ่านการโฆษณาฟอกเขียว การสนับสนุนเทคโนโลยีหลอกอย่างคาร์บอนเครดิต หรือการดักคาร์บอน และการใช้ AI ในการออกแบบการรับรู้ของสังคมให้มองฟอสซิลว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อความมั่นคงของมนุษย์

ขณะเดียวกัน ผู้ที่ออกมาเปิดโปงความจริงกลับถูกปิดปากด้วยคดี SLAPP และการคุกคามทางกฎหมาย กลยุทธ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่เป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่บ่อนทำลายสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทั้งสิทธิในการมีชีวิต การรับรู้ข้อมูล และการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยเฉพาะในโลกที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน

sustainability-unhrc-warns-fossil-fuels-threaten-both-climate-and-human-rights-SPACEBAR-Photo02.jpg

สิทธิของคนรุ่นหลังคือเรื่องของวันนี้

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ ความยุติธรรมระหว่างรุ่น (Intergenerational Justice) รายงานระบุว่าการกระทำของเราวันนี้จะมีผลกระทบต่อโลกและมนุษย์นานนับพันปี เด็กรุ่นใหม่จึงควรมีสิทธิได้รับสภาพแวดล้อมที่ดีเท่าเทียม ไม่ถูกยึดไปโดยระบบพลังงานที่ไม่ยั่งยืน

ข้อเสนอแนะอย่างเร่งด่วน

สหประชาชาติเสนอให้ดำเนินการทันทีในระดับโลก ดังนี้

  • หยุดการสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลแห่งใหม่
  • การจัดหาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องลดลง 55% ภายในปี 2035 (เมื่อเทียบกับปี 2023)
  • การใช้ถ่านหินต้องลดลงถึง 100% ภายในปี 2050, น้ำมัน 90%, และก๊าซฟอสซิล 85%
  • ห้ามสร้างโรงไฟฟ้าพลังฟอสซิลแห่งใหม่ และต้องยุติการเผาหรือปล่อยก๊าซที่ไม่จำเป็นภายในปี 2030
  • โครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดควรถูกปลดระวางก่อนหมดอายุการใช้งานทางเทคนิค

แนวทางเหล่านี้สอดคล้องกับเสียงของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ทั่วโลกที่เรียกร้องให้ยุติการสำรวจและพัฒนาเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกรูปแบบ ภายในปี 2030 ทั้งยังต้องมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤต ภายใต้หลัก ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย อย่างเป็นธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนระหว่างรุ่น ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

แล้วเราจะรอดจากวิกฤติพลังงานได้อย่างไร?

รายงานเสนอให้ทุกประเทศเดินหน้า การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม หรือ Just Transition ที่ไม่เพียงเปลี่ยนจากพลังงานสกปรกไปสู่ “พลังงานสะอาด” แต่ต้องมีมาตรการรองรับแรงงาน ชุมชน และวิถีชีวิตเดิมอย่างเท่าเทียม

สำหรับไทยและอาเซียน ปัจจุบันยังมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือท่อส่งก๊าซแห่งใหม่ คำเตือนจากสหประชาชาติครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณชัดว่านโยบายพลังงานในภูมิภาคจำเป็นต้องทบทวนใหม่ทันที

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์